The Face Thailand สัปดาห์นี้แม้จะไม่สู้กันอย่างโฉ่งฉ่างแต่บรรยากาศโคตรมาคุ สนุกยิ่งกว่าตอนด่ากันเสียงดังอีก

ว่าแต่อะไรคือการที่พี่เกดกำลังมาคุอยู่ในห้องตัวเอง ดุลูกทีมอยู่ แล้วมีเสียงเพลง Happy Birthday จากทีมงานลอยมา เปิดลำโพงแล้วฟังคลิป 6/7 ช่วง 0.36-0.42 สิคุณ! ใครดันมาฉลองวันเกิดตอนที่มีคนกำลังจะตายในห้องเชือดเนี่ย!

การแข่งขันแคมเปญจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ แต่สัปดาห์นี้ผู้ชนะที่แท้จริงคือ Victoria’s Secret ต่างหาก อยู่เชิดๆ เฉยๆ ไม่ต้องเสียเงินสักบาทให้รายการก็มีคนมาโปรโมตให้สวยๆ ซะงั้น!

นึกดูแล้วกัน โจทย์ของแคมเปญคือเป็นสาวเมบิลีนนิวหยวกซึ่งเป็นสปอนเซอร์หลัก แต่ทั้งแคมเปญ ตั้งแต่บรีฟงานยันถ่ายงาน เมนเทอร์บีพูดปาวๆ ตลอดว่าคอนเซ็ปต์วันนี้เราจะเป็นนางฟ้า Victoria’s Secret กันนะเด็กๆ เด็ดสุดคือนางชมลูกทีมต่อหน้ากรรมการจากเมบิลีนนิวหยวกว่า “กรี๊ด! สวยเหมือน Victoria’s Secret มากๆ!” กรรมการเมบิลีนนิวหยวกนั่งหัวโด่อยู่ตรงนั้นคงหน้าชา

ยังไม่หมด โจทย์บอกจะเป็นสาวเมบิลีน แต่ให้นางแบบติดปีกแบบนางฟ้า Victoria’s Secret แถมเปิดวิดีโอแฟชั่นโชว์ Victoria’s Secret เป็นฉากหลังอีก!

จบแคมเปญ Victoria’s Secret ได้ภาพความเป็นผู้นำแห่งความเริด เริดจนแบรนด์อย่างเมบิลีนนิวหยวกอยากทำตาม ตัวเองได้แอร์ไทม์ฟรีๆ ได้เมนเทอร์บีมาชมว่าชอบ Victoria’s Secret มากๆ มากขนาดที่ทำเอานางลืมไปเลยว่าโจทย์คือเมบิลีนนิวหยวก ชมออกอากาศซะทุกขณะจิต เออ! ดีเว้ย!

ส่วนเมบิลีนนิวหยวกนี่สิ ภาพลักษณ์แบรนด์ออกมากลายเป็นแบรนด์เซินเจิ้นวัลลาบีอยากเป็น Victoria’s Secret ขึ้นมาทันที ดูจบแล้วถามว่าสาวเมบิลีนนิวหยวกคืออะไร Make It Happen คืออะไรไม่รู้ คนดูได้ออกมาว่า “อ๋อ สาวเมบิลีนนิวหยวกเป็นสาวที่วัลลาบีอยากจะเป็นแบบ Victoria’s Secret นี่เอง” เหมือนจ่ายเงินเป็นล้านมาให้รายการตบหน้ารัวๆ ตัวเองเป็นสปอนเซอร์หลักแท้ๆ ดันโดนขโมยซีน ขโมยซีนไม่พอ ตัวเองกลายเป็นแบรนด์ของก๊อป แถมยังโดนเมนเทอร์ลูกเกดแซะอีกว่า เมบิลีนนิวหยวกชอบขายของฮาร์ดเซลล์ (ซึ่งโคตรจริง จนป่านนี้มีเทปไหนไม่ยัดเยียดบ้าง – อะไรคือการที่เบลล่าจู่ๆ ก็ปรับโหมดหันหน้ามาขายของกับคนดูทื่อๆ?!)

จบเคสความพังของการสร้างแบรนด์สำหรับนักการตลาดแล้ว และเช่นเดียวกับทุกสัปดาห์ เราก็จะได้เรียนรู้วิชาชีวิตการทำงานจากรายการดราม่า & ฮาร์ดเซลล์รายการนี้เช่นเคย ดูรายการสนุกกันแล้ว เอาวิชาตัวเบาเหล่านี้ไปใช้กับดราม่าที่ทำงานกันด้วยนะพวกเรา #ทีมลูกเกด #ทีมบี #ทีมมาช่า #ทีมคุณเต้ หรือ #ทีมนิวหยวก ก็มาเรียนกันได้เลย

Game on, bitch!!!

เราเรียนรู้ได้จากทุกอย่างรอบตัวเรา ทุกคนเป็นครูเราได้หมด และเราต้องเปิดใจที่จะเรียนรู้
อย่ายึดติดว่าเรารู้แล้ว ยึดติดว่าเราเป็นใคร เขาเป็นใคร
ให้เป็นแก้วเปล่าที่รองรับทุกหยดแห่งความรู้และประสบการณ์

อย่ารอคนป้อนความรู้ แต่เอาตัวพุ่งไปหาความรู้  

ฟ้า ทีมลูกเกดพูดถึงการสอนของเมนเทอร์มาช่าในมาสเตอร์คลาสว่า “ดูไม่ค่อยได้อะไรจากที่พี่สอน”

จริงๆ พี่ก็คิดแบบนั้นตอนเมนเทอร์ทีมของฟ้ามาสอนวิธีเลือกทรงผม – กูได้อะไรวะ – แต่พี่ก็เข้าใจนะว่าเขาไม่ได้หวังจะให้ความรู้อะไรนะลูก ช่วงนี้เขามีไว้ขายของสปอนเซอร์กันทื่อๆ แต่เชื่อเถอะว่าอย่างน้อยเราก็ได้ความรู้บ้าง มากน้อยก็อีกเรื่อง

อย่างแรกต้องปรับมายด์เซตใหม่ว่า เราเรียนรู้ได้จากทุกอย่างรอบตัวเรา ทุกคนเป็นครูเราได้หมด และเราต้องเปิดใจที่จะเรียนรู้ อย่ายึดติดว่าเรารู้แล้ว ยึดติดว่าเราเป็นใคร เขาเป็นใคร ให้เป็นแก้วเปล่าที่รองรับทุกหยดแห่งความรู้และประสบการณ์

ทีนี้บางคนอาจจะสงสัยว่า อ้าว! ไม่สอนแล้วเราจะได้ความรู้ได้อย่างไรล่ะ

เราโตมากับระบบการศึกษาที่ไม่ได้เริ่มต้นการศึกษาว่า ‘เราอยากรู้อะไร’ แต่เป็นห้องเรียนที่เริ่มต้นด้วย ‘วันนี้ครูจะสอนอะไร’ นั่นทำให้เรากลายเป็นฝ่ายอ้าปากรอว่าวันนี้ครูจะสอนอะไรเรา จะป้อนความรู้อะไรให้เรา และมันทำให้เราไม่สนุกกับโลกแห่งการเรียนรู้

ถ้าคนเราอยากรู้ เราโหยหาความรู้ เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เราได้ความรู้นั้นให้ได้ – หลักการเดียวกับคนชอบเผือกนั่นแหละ แต่เปลี่ยนจากเผือกเรื่องชาวบ้านเป็นเผือกเรื่องความรู้

บางองค์กรให้ความสำคัญกับการเทรนนิงพนักงาน ติดอาวุธทางความรู้ให้พนักงาน บางที่ให้ทุนไปเรียน อยากเรียนอะไรว่ามา! อันนี้ก็โชคดีไป เราก็เรียนไป (แต่คนไม่เรียนก็เยอะ น่าเสียดาย) แต่ในบางองค์กรที่ไม่ลงทุนด้านความรู้กับพนักงาน แต่เรียกร้องให้พนักงานต้องรู้นั่นรู้นี่เพิ่ม พนักงานจะทำอย่างไร สงสัยใช่ไหมครับ

ผมอยากชวนคุณตั้งคำถามแบบนี้ครับว่า ขึ้นชื่อว่าความรู้ ถ้ารู้แล้ว ใครได้ประโยชน์สูงสุดครับ

ตัวเราครับ

ใครไม่สนับสนุนให้เราเก่งขึ้นก็ไม่ต้องสนใจครับ นั่นเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราคือทำตัวเองให้เก่งขึ้น ความรู้อยู่ตรงไหนให้ไปตรงนั้น ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ความรู้มา

เรียนไปเถอะครับ ขวนขวายหาความรู้และประสบการณ์เข้าไว้เถอะครับ ความรู้ที่ได้มันติดตัวเราไปตลอด ไม่ได้ติดตัวบริษัท อย่ายอมให้อะไรก็ตามมาเป็นอุปสรรคในการทำให้เราหยุดตัวเองที่จะเรียนรู้

ยากรู้อะไรต้องได้รู้ เหมือนอยากกินอะไรต้องได้กินนั่นแหละครับ

อย่ารอแต่ให้คนมาป้อนมาประเคนความรู้ใส่พานถวายให้เรา แต่ให้เราพุ่งไปหาความรู้นั้น มีความรู้ที่ไหนพุ่งไปหาเลยครับ

และเราจะพบว่าเราพุ่งไปสู่ดินแดนที่อาณาเขตไม่มีที่สิ้นสุด

นอกกะลานั้นคือกาแล็กซีเชียวนะครับ

แพสชันอย่างเดียวไม่พอให้เราไปถึงเส้นชัยได้ แต่ไม่มีคนที่ไปถึงเส้นชัยได้โดยไม่มีแพสชัน

เราอยากชนะแค่ไหน

พอทีมมาช่าโดนทุบ-ทุบ-ทุบ จนเหลืออยู่แค่ 2 คนเท่านั้น เห็นเพื่อนโดนเก็บไปทีละคนเหมือนเซเลอร์มูนภาคแรกตอนจบ เกรซก็องค์ลง ระเบิดพลังออกมาชนิดที่เมนเทอร์และกรรมการทุกคนต้องปรบมือให้ว่า นางแน่จริงเว้ยเฮ้ย! ปัง! ปัง! ปัง!

แรงผลักดันสำคัญของเกรซคือการที่รู้ว่าต่อจากนี้ถ้าทีมมาช่าแพ้แปลว่า นางตายแน่ และทุกสัปดาห์อาจเป็นสัปดาห์สุดท้ายของนางได้เสมอ สิ่งนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นางอยากชนะมากกว่าเดิม เป็นการฮึดสู้แบบหมาจนตรอกที่สามารถขย้ำราชสีห์ให้ศิโรราบ เพราะหนทางเดียวของนางคือต้องสู้ให้ชนะ ไม่สู้ก็ตาย ไม่ชนะก็ตาย

ในขณะที่ทีมลูกเกดแลดูพลังตกจนเมนเทอร์ลูกเกดเองยังโมโหที่ไม่สามารถสัมผัสได้ว่าแต่ละคนมีไฟ ฉันต้องได้! ฉันต้องการ! ฉันต้องอยู่! ทุกคนแลดูชิลล์ๆ เรื่อยๆ เนือยๆ ไม่มีแรงผลักดันให้อยากทะยานไปให้ไกลที่สุด

ชีวิตคนเราก็แบบนี้ มันต่างกันที่ว่าเราอยากชนะแค่ไหน เรามีแพสชันกับสิ่งที่ทำมากแค่ไหน คนที่อยากชนะมากจะมีแรงฮึดทำทุกวิถีทางเพื่อพาตัวเองไปให้ถึงเป้าหมาย เขาจะทุ่มทั้งชีวิตเพื่อทำให้ฝันของเขาเป็นจริง

มันไม่มีคำว่า ‘ทำดีที่สุดแล้ว’ แต่คนที่มีแพสชัน คนที่อยากชนะจริงๆ จะคิดว่า ‘ทำดีขึ้นได้อีก’ อย่าคิดว่า ‘ที่สุด’ ของเราคือทำได้เท่านี้แล้วจริงๆ อย่าดูถูกหรือปิดกั้นตัวเอง แต่หาวิธีทำให้เราเก่งขึ้นให้ได้ การใช้ชีวิตคือทักษะ ยิ่งทำ ยิ่งฝึก ยิ่งล้ม ยิ่งลุก ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งได้ทักษะ

คิดว่า ‘หนูทำเต็มที่ที่สุดแล้ว’ ก็จะโดนพี่เกดตอกหน้ามาได้ว่า พี่ไม่เชื่อ นี่เต็มที่ที่สุดแล้วเหรอ?!

แพสชันเป็นสิ่งสำคัญ แต่แพสชันอย่างเดียวไม่พอให้เราไปถึงเส้นชัยได้ มีแพสชันแล้วยังต้องหมั่นฝึกฝนพัฒนาตัวเองตลอด และคอยเติมแพสชันให้ไม่มอดอยู่เรื่อยๆ เพราะระหว่างทางมันจะมีอุปสรรคมากมาย อาจทำให้เราหวั่นไหวเสียกำลังใจได้ ต้องคอยสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเอง

แพสชันอย่างเดียวไม่พอให้เราไปถึงเส้นชัยได้ แต่ไม่มีคนที่ไปถึงเส้นชัยได้โดยไม่มีแพสชัน

อย่าถามว่า ‘ทำดีที่สุดแล้วหรือยัง’ แต่ถามว่า ‘เราอยากชนะแค่ไหน’ แล้วเอาความรู้สึกนั้นผลักดันตัวเองไปสู่การทำทุกวิถีทาง (ที่ใสสะอาด) เพื่อชัยชนะ

ถ้าจะอยู่รอดในโลกที่โหดร้ายนี้ได้ อย่าคิดเพียงแต่ว่าเป็นคนดีแล้วจะอยู่รอดได้สบายๆ
ความดีนั้นเรายังต้องมีอยู่ แต่เราจำเป็นจะต้องมีอาวุธไว้ป้องกันตัว

ร้ายให้เป็น

ยานแม่ลงแล้วจ้า!!! เหมือนอย่างที่เมนเทอร์บีบอก “พี่ช่านี่ เมื่อร้ายแล้วเด็ดจริงๆ!” นี่ฉันถึงขั้นกดดูซีนพี่ช่าเบะปากแสยะยิ้มให้พี่ลูกเกดตอนจบอยู่หลายรอบ เป็นการใช้กล้ามเนื้อปากแสยะยิ้มที่สาแก่ใจช้อยนัก! จะต้องไปฝึกหน้ากระจกบ้าง

ที่เด็ดสุดคือตอนพี่เกดบอกว่า “ก็ไปสิคะ” แล้วพี่ช่าย้อนเสียงนิ่งๆ ยิ้มๆ (แต่มีความกวนตีนสูงมาก) ว่า “พี่จะยังไม่ไปก็ได้นี่คะ พี่มีสิทธิ์ที่จะอยู่” กับการพูดด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “พี่ไม่ค่อยได้สนใจกับคำพูดอะไรของเกดหรอก เกดชอบเพ้อเจ้อ” อูย… ซี้ดปากเลย!

จะร้ายต้องร้ายให้เป็นแบบพี่มาช่าท้ายเอพิโสดนี้ แต่ทุกอย่างที่สื่อออกมาตั้งแต่คำพูด น้ำเสียง การแสยะยิ้ม การหัวเราะ ท่าทางการยืน ฯลฯ มีพลังการทำลายล้างสูงมาก โดยไม่ต้องออกแรงเล่นใหญ่ให้เหนื่อยแรง

ในชีวิตจริง ด้วยความที่โลกนี้มีคนหลากหลาย บางทีเราจะเจอคนที่เอาเปรียบเรา แทงข้างหลังเรา หาโอกาสในการเหยียบย่ำเรา ทั้งที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งฆ่ากันต่อหน้าและเชือดกันลับหลัง คนหมั่นไส้ ขี้นินทา หรือใช้วิธีสกปรก โลกนี้มันมีหมด เพียงแต่ว่ามันจะเกิดขึ้นกับเราหรือเปล่าก็เท่านั้น

และอย่างที่คุณก็รู้ว่าคนดีเป็นเหยื่อของคนเลวก็เยอะแยะ และคนเลวๆ แต่อยู่รอดในสังคมได้สบายๆ และเป็นที่เชิดหน้าชูตาก็มีอยู่ สวัสดี… ที่นี่ประเทศไทย

ถ้าจะอยู่รอดในโลกที่โหดร้ายนี้ได้ อย่าคิดเพียงแต่ว่าเป็นคนดีแล้วจะอยู่รอดได้สบายๆ ความดีนั้นเรายังต้องมีอยู่ แต่เราจำเป็นจะต้องมีอาวุธไว้ป้องกันตัวจากคนเหล่านี้ อาวุธของคุณจะเป็นสติปัญญา ความรู้ความสามารถ การศึกษา บารมี เครือข่าย ต้นทุนทางสังคม รูปลักษณ์ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เราต้องหาให้เจอว่าอาวุธของเราคืออะไร ถ้าไม่มีก็ต้องสร้าง ถ้ามีแล้วต้องหมั่นพัฒนา และอย่ามีเพียงอาวุธชิ้นเดียว เราไม่มีทางรู้ว่าเราต้องไปรบกับอะไรบ้างในชีวิตข้างหน้า ขนาดการ์ตูนดิสนีย์ใสๆ ยังมีตัวร้าย นี่มันชีวิตจริง ตัวร้ายมีมากกว่าหนึ่งอยู่แล้ว และบางทีมากันรอบทิศทางเลยจ้า!

ที่สำคัญคือต้องรู้ว่าเมื่อไรควรจะใช้อาวุธ เมื่อไรควรสู้ เมื่อไรควรนิ่ง เมื่อไรควรถอย ใช้ให้ถูกจังหวะ คนตายเพราะแพ้ภัยตัวเองมันน่าอนาถกว่าตายเพราะคนอื่น

เรามีอาวุธเหล่านี้ไว้เพื่อป้องกันตัว เพื่อไม่ให้ใครมาย่ำยี เพื่อต่อสู้อย่างชาญฉลาดโดยที่มือไม่เปื้อนมลทิน เพื่อการอยู่รอดในโลกที่โหดร้าย แต่อย่าใช้วิธีการทำให้ตัวเองอยู่รอดด้วยการทำลายคนอื่น เราอาจจะอยู่รอด แต่อยู่รอดอย่างที่หลงเหลือความเป็นมนุษย์อีกไหมก็อีกเรื่อง

การยอมให้คนเหยียบย่ำเราตลอดเวลาไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนดี ไม่งั้นเราคงได้บุญจากการโดนกระทืบ คนสู้กลับไม่ได้แปลว่าเป็นคนเลว เลวหรือไม่เลวอยู่ตรงที่สู้ด้วยวิธีการแบบไหนมากกว่า

สัปดาห์หน้ามาเรียนรู้โลกการทำงานกับ Game on, Bitch กันต่อ เดี๋ยวขอไปฝึกเบะปาก แสยะยิ้มแบบพี่ช่าก่อน

Tags: