ความฝัน ความรัก ชีวิต และตัวตน ของคนรุ่นใหม่ในสังคมเมืองใหญ่อย่างนครโฮจิมินห์ที่เปิดกว้างในเรื่องความหลากหลายทางเพศเป็นอันดับต้นๆ ของเวียดนาม ถูกบอกเล่าผ่านบทสนทนากว่าสองชั่วโมงในร้านกาแฟบนชั้นห้าใจกลางเมือง เสียงเพลงต่างชาติทั้งเพลงภาษาอังกฤษและภาษาเกาหลีอบอวลในบรรยากาศอบอุ่นของร้าน ในขณะที่สายฝนโปรยปรายด้านนอกหน้าต่าง

เพื่อนใหม่ชาวเวียดนามคือสองสาวในวัยยี่สิบต้นๆ มึนฮ์ บุย (Bui Tran Bình Minh) วัย 20 ปี และ อันฮ์ แล (Le Ngoc ‎Nguyên Anh) วัย 21 ปี พวกเราเจอกันในพิธีเปิดของงาน Viet Pride ระหว่างกำลังเดินขบวนในพิธีเปิด ณ ถนนคนเดิน Nguyen Hue ใจกลางนครโฮจิมินห์

มึนฮ์ บุย (Bui Tran Bình Minh) (ทางซ้าย) และ อันฮ์ แล (Le Ngoc ‎Nguyên Anh) (ทางขวา)

ตั้งแต่ปี 2015 สิทธิมนุษยชนของชาว LGBT ในประเทศเวียดนามนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งการที่คู่รักเพศเดียวกันสามารถจัดพิธีแต่งงาน แม้ว่าจะไม่ได้รับการจดทะเบียนหรือสิทธิต่างๆ เสมือนคู่แต่งงานต่างเพศ ซึ่งก่อนนั้นถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย

รวมถึงการผ่านข้อกฎหมายใหม่ที่จะเริ่มใช้งานในปี 2017 ซึ่งอนุญาตให้ทรานส์เจนเดอร์สามารถลงทะเบียนเปลี่ยนเพศในเอกสารราชการได้ ทั้งยังได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย อันจะส่งผลให้สามารถผ่าตัดแปลงเพศในประเทศเวียดนามได้ ขณะที่ก่อนหน้านี้ทรานส์เจนเดอร์จำนวนมากต้องเดินทางมาผ่าตัดที่ประเทศไทย ถือเป็นข่าวดีสำหรับทรานส์เจนเดอร์ และเป็นใบเบิกทางอนาคตที่สดใสกว่าเดิมของชาว LGBT

จากรุ่นพี่รุ่นน้องสมัยมัธยมเปลี่ยนสถานะเป็น ‘คู่รัก’

ช่วงเวลามัธยมเป็นช่วงที่วัยรุ่นใช้ค้นหาตัวตนของตัวเอง ไม่ว่าจะในเรื่องของความชอบ ไลฟ์สไตล์ งานอดิเรก รวมถึงเรื่องของความรัก และอัตลักษณ์ทางเพศ

มึนฮ์ และ อันฮ์ รู้จักกันตั้งแต่สมัยมัธยมต้น แม้จะอยู่ต่างชั้นปีกัน แต่ก็เป็นเพื่อนของเพื่อน ช่วงสมัยมัธยมปลายนั้น มึนฮ์เคยถามอันฮ์เล่นๆ ว่า ชอบผู้หญิงหรือเปล่า ซึ่งเจ้าตัวก็ปฏิเสธ “จริงๆ ตอนนั้นงงมากที่ถูกถามแบบนั้น ไม่รู้ด้วยว่าผู้หญิงชอบกันได้” อันฮ์เสริม พร้อมบอกว่าช่วงนั้นตนเองก็มีแฟนเป็นผู้ชายอยู่ ในส่วนของมึนฮ์บอกว่าที่ตัวเองถามไปแบบนั้น เพราะรู้สึกว่าตนเองมี ‘gaydar’ (ความสามารถในการหยั่งรู้ประเมินเรื่องรสนิยมทางเพศ)

ส่วนสมัยมัธยมนั้น มึนฮ์มีแฟนเป็นทรานส์แมน “ก่อนหน้านั้นก็เคยคบผู้ชายมาก่อน เราไม่รู้ว่าจะ ‘label’ ให้นิยามตัวเองว่าอย่างไร แต่รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ ‘รัก’ ใครสักคน จนมาเจออันฮ์” เธอหัวเราะและเสริมว่า “แต่รู้มาตลอดนะว่าตัวเองชอบ Miranda Kerr มากๆ”

แม้ทั้งคู่จะห่างๆ กันไปช่วงมัธยมปลาย จนได้เจอกันอีกครั้งที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่มึนฮ์ทำงานอยู่ ขณะนั้นเป็นช่วงที่อันฮ์เตรียมตัวสอบก่อนไปเข้ามหาวิทยาลัยที่ฟินแลนด์

อันฮ์เริ่มปลื้มมึนฮ์ ทั้งคู่เริ่มพูดคุยกันทางเฟซบุ๊ก ตั้งแต่เรื่องทั่วๆ ไป จนถึงประเด็นของ LGBT ซึ่งอันฮ์บอกว่ามึนฮ์ทำให้เธอมีความรู้ความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศมากขึ้น

จนวันหนึ่ง อันฮ์ซึ่งตอนนั้นเพิ่งเลิกกับแฟนที่คบกันตั้งแต่สมัยเรียน และเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองชอบมึนฮ์มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ถามมึนฮ์ว่ารู้ตัวได้อย่างไรว่าตัวเองไม่ใช่คนรักต่างเพศ? ซึ่งมึนฮ์ตอบว่า “รู้จากการที่ตัวเองมีความสุข” พร้อมเสริมด้วยว่า “เธอควรจะยอมรับตัวเอง แล้วจะมีความสุข”

ควิซเฟซบุ๊ก: ใครรู้จักคุณดีที่สุด?

อันฮ์เดินทางไปเรียนต่อที่ฟินแลนด์ในปี 2015 หนึ่งปีหลังจากที่ทั้งคู่เจอกันที่ที่ร้านกาแฟ ก็ทำให้ทั้งคู่ห่างกันอีกครั้ง ส่วนมึนฮ์ก็ยุ่งอยู่กับการเรียนในมหาวิทยาลัยในโฮจิมินห์
จนวันหนึ่ง มึนฮ์สร้างควิซ ‘ใครรู้จักคุณดีที่สุด’ ขึ้นมาให้เพื่อนๆ ของเธอได้เล่นในเฟซบุ๊ก ซึ่งผลปรากฏว่าอันฮ์ได้

คะแนนสูงสุด 14 ใน 15 คะแนน มึนฮ์ก็เลยคอมเมนต์ตอบเล่นๆ ว่า “ไว้ถ้าเลิกกับแฟนแล้วจะมาคบด้วยนะ” โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแอบชอบอยู่

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กลับมาคุยกันอีกครั้งทั้งทางเฟซบุ๊กและสไกป์ จนทำให้อันฮ์ รู้ว่ามึนฮ์กำลังอยู่ใน abusive relationship (ความสัมพันธ์แบบกดขี่ข่มเหง) จนอันฮ์ บอกว่า “ถ้าเลิกกับแฟนแล้วบอกฉันด้วยนะ ฉันเชื่อว่าจะดูแลเธอได้ดีกว่าเขา” ทำให้มึนฮ์รู้ว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องทนอยู่ในความสัมพันธ์เดิมด้วยความคิดทำร้ายตัวเองว่าไม่มีใครรัก และทำให้ทั้งคู่คุยกันแบบเปิดใจมากขึ้น

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก็คือ ช่วงเวลาก่อนไปทริปที่ประเทศไทยของมึนฮ์และแฟนเก่า เพราะอันฮ์ตัดสินใจสารภาพรักว่า “ชอบมึนฮ์มาตั้งนานแล้ว” ซึ่งทำให้มึนฮ์ที่รู้สึกชอบอันฮ์มาสักพักดีใจที่ทั้งสองใจตรงกัน


“Will you be my girlfriend?”

หลังจากทริปประเทศไทยที่มึนฮ์ซึ่งเลิกกับแฟนเก่าไปเดือนกว่าๆ ก็มาถึงวันเกิดของเจ้าตัวในเดือนเมษายน ระหว่างนั้นทั้งคู่ยังพูดคุยกันอยู่โดยไม่มีการเลื่อนสถานะ

อันฮ์ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการทำเค้กวันเกิดให้มึนฮ์ พร้อมเขียนข้อความว่า “Will you be my girlfriend?” ในระหว่างการอวยพรวันเกิดผ่านสไกป์

จนกระทั่งปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาที่ทั้งคู่ได้เจอกันอีกครั้งหลังจากติดต่อกันทางออนไลน์มาตลอด อันฮ์วางแผนจะกลับไปเวียดนามเพื่อเซอร์ไพรส์มึนฮ์โดยไม่บอกเจ้าตัว ซึ่งอันฮ์ก็ทำงานช่วงปิดเทอมเพื่อจะเก็บเงินกลับเวียดนาม

ไม่พร้อม ‘Come Out’

แม้ทั้งคู่จะมาร่วมเดินขบวน Viet Pride ซึ่งมีสื่อทั้งในและต่างประเทศมาทำข่าว แต่ทั้งคู่ก็บอกว่ายังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยตัวตน (come out) กับทางบ้าน

อันฮ์เล่าว่า เธอถูกที่บ้านพาไปดูตัวทันทีหลังจากที่กลับจากฟินแลนด์เมื่อไม่กี่เดือนก่อน พร้อมบอกถึงเหตุผลที่ยังไม่พร้อมจะเปิดตัวว่า “ชอบชีวิตอิสระในตอนนี้ มีชีวิตเป็นของตัวเองดี และอยากให้พ่อแม่เชื่อใจก่อนว่าเราเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถดูแลตัวเองได้”

ในส่วนของมึนฮ์เล่าว่า “ตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ striaght (รักต่างเพศ) เราก็เลยเริ่มทำงานพาร์ตไทม์เตรียมตัวไว้เผื่อว่า ถ้าวันหนึ่งถูกไล่ออกจากบ้าน เพราะพ่อแม่เป็นพวกหัวอนุรักษ์นิยม และจริงๆ เราก็กลัวทำให้พ่อแม่เสียใจ ไม่อยากเป็น ‘ความผิดหวัง’ ของพ่อแม่” แต่เธอก็ตั้งใจว่าจะบอกเมื่อพร้อม ซึ่งอาจจะเป็นหลังเรียนจบที่สร้างเนื้อสร้างตัวได้แล้ว และเวียดนามรับรองกฎหมายการแต่งงานอย่างเท่าเทียมกัน

ทั้งคู่เสริมว่าคนรุ่นใหม่ในเวียดนามนั้นเปิดกว้างเรื่องความหลากหลายทางเพศมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลทางสื่อทั้งฝั่งตะวันตก รวมทั้งสื่อไทยอย่างซีรีส์เรื่อง ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ซึ่งโด่งดังมาก แต่ก็ยังมีปัญหาการรังแกและทำร้ายชาว LGBT โดยเฉพาะในสถานศึกษา และอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ทางบ้านไม่เปิดใจยอมรับ ซึ่งหนึ่งในแนวคิดของคนรุ่นพ่อแม่ก็คือ ผู้ชายต้องแต่งงานกับผู้หญิงและมีลูกเป็นครอบครัวเดียวกัน และแม้ว่าการรักเพศเดียวกันจะไม่ผิดกฎหมายในเวียดนาม แต่ก็เป็นประเด็นต้องห้ามในสังคมมาโดยตลอด ทำให้วัยรุ่นที่เป็นชาว LGBT จำนวนมากเลือกที่จะเปิดเผยเฉพาะกับเพื่อนในวัยเดียวกันมากกว่า รวมทั้งการแสดงตัวตนผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือบางคนเลือกที่จะปฏิเสธตัวตนที่ ‘แตกต่าง’ ของตัวเอง

อ้างอิง:
– http://time.com/4184240/same-sex-gay-lgbt-marriage-ban-lifted-vietnam
– https://www.theguardian.com/world/2015/nov/24/vietnam-law-change-introduces-transgender-rights
– https://th.wikipedia.org/wiki/เกย์ดาร์

Tags: ,