ช่วงที่ผ่านมาผมได้ยินได้ฟังเรื่องราวและข่าวคราวการผจญภัยครั้งใหม่กับการไปเล่นฟุตบอลอาชีพที่ญี่ปุ่นของ ‘เมสซีเจ’-ชนาธิป สรงกระสินธ์ มาบ้างครับ

ไม่ว่าจะเป็นคนในวงการฟุตบอลของไทย หรือแม้กระทั่งในหมู่มิตรเพื่อนฝูง เท่าที่ได้ยิน แม้ตัวเจจะยังไม่ไป และอยู่ระหว่างการเจรจากับ ฮอกไกโด คอนซาโดเล ซัปโปโร ในเรื่องสัญญาการย้ายทีม

แต่ ‘ใจ’ ของเขาไปแล้วครับ

ความฝันของนักบอลไทย

ความฝันในการไปเล่นฟุตบอลต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นของนักฟุตบอลที่ได้รับการเลือกจาก ลิโอเนล เมสซี ให้ติดทีมของเขา (Backed by Messi) ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร

คนไทยเราเองก็อยากเห็นนักเตะที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของเราไปพิสูจน์ตัวเองในลีกฟุตบอลที่ว่ากันว่าดีที่สุดลีกหนึ่งของเอเชีย

ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน เจเคยได้รับโอกาสในการทดสอบฝีเท้ากับ ชิมิสึ เอสพัลส์ สโมสรในระดับเจลีก (ในเวลานั้น) แต่สุดท้ายการย้ายทีมไม่เกิดขึ้น

แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นดีเสมอ จากความไม่สมหวังครั้งนั้น ทำให้เจมีโอกาสได้ขัดเกลาตัวเองในไทยลีก และฟุตบอลระดับเอเชียกับทีมชาติไทย ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ตามสายตาของผม เด็กคนนี้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างน่าตกใจ

โดยเฉพาะเรื่องของ ‘พลังกาย’ ที่เจฝึกฝนและดูแลตัวเองอย่างดี จนเวลานี้แข็งแกร่งกำยำขึ้นจากเดิมมาก

ขณะที่ ‘พลังใจ’ ของเขาเกินร้อยอยู่แล้วครับ

ถ้าถามผม ผมเชียร์ให้เขาไปผจญภัยดูสักครั้ง ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก

แค่คำว่า ‘ความฝัน’ ก็เป็นเหตุผลที่ดีพอแล้ว

บทเรียนจากนักเตะไทยในต่างแดน

ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วยกับการออกไปค้าแข้งต่างแดนของซูเปอร์สตาร์รายนี้

โค้ชคนดังคนหนึ่งของวงการฟุตบอลไทยได้พูดคำหนึ่งให้ผมต้องกลับมาหยุดคิดแทนเจ

“ไปทำไม ไปก็สู้แรงเขาไม่ไหว กำลัง เทคนิค สปีดความเร็วพวกนี้เหนือกว่าเยอะ”

คำพูดของโค้ชคนดังอาจดูรุนแรงและแทงใจดำ แต่ก็เป็นมุมมองจากคนที่มีประสบการณ์ในวงการฟุตบอลมานานกว่าช่วงชีวิตทั้งหมดของผม ซึ่งก็น่ารับฟังอยู่บ้างครับ

เพราะถึงเจจะเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในระดับอาเซียน แต่จะเห็นได้ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับทีมในระดับท็อปของเอเชียด้วยกัน ไม่ใช่ทุกนัดที่เขาจะเล่นได้ในแบบที่เราคาดหวัง

ระดับฝีเท้าเป็นเรื่องที่มีอยู่จริง และปฏิเสธไม่ได้ว่า เจยังต้องพัฒนาการเล่นขึ้นอีกในบางจุดหากคิดจะไปไกลกว่านี้

นอกจากนี้ การไปเล่นฟุตบอลต่างแดนนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะมันไม่ใช่แค่การตื่นเช้า ไปสนามฝึกซ้อม และกลับมานอนพักผ่อน แล้วรอวันจะได้ลงสนามแข่ง

แต่มีเรื่องของการ ‘ใช้ชีวิต’ รวมอยู่ด้วย

ไม่ว่าการกินการอยู่ สภาพแวดล้อม ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมทีม และหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่สุดที่นักฟุตบอลระดับโลกจำนวนไม่น้อยตกม้าตายคือเรื่องกำแพงภาษา

เก่งแค่ไหน พูดไม่ได้ ฟังไม่เข้าใจ ทุกอย่างก็ยากไปหมด

ที่ผ่านมาเคยมีนักฟุตบอลไทยได้โอกาสไปเก็บประสบการณ์ต่างแดนมาไม่น้อย ตั้งแต่รุ่นพ่ออย่าง วิทยา เลาหกุล ที่ค้าแข้งในเยอรมัน ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ในเกาหลี ที่ถือว่าประสบความสำเร็จครับ

แต่ในช่วง 20 ปีหลังที่เกมฟุตบอลเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้เรื่องราวแตกต่างออกไป

กับเรื่องของ ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่ได้ทดสอบฝีเท้ากับสโมสรฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์

ลีซอ-ธีรเทพ วิโนทัย ที่เคยอยู่ในทีมเยาวชนของคริสตัล พาเลซ

หรือชุด 3 นักเตะที่ได้โอกาสไปทดสอบฝีเท้ากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่าง ธีรศิลป์ แดงดา, เกียรติประวุฒิ สายแวว และสุรีย์ สุขะ (ที่ดูเหมือนเป็นกิจกรรมประชาสัมพันธ์มากกว่าจะเป็นเรื่องของกีฬาจริงๆ) จะทำให้คนไทยได้ตื่นเต้นและมีความสุขเป็นระยะๆ

แต่ไม่มีครั้งใดที่พอจะเรียกว่าประสบความสำเร็จได้เต็มปาก

นักฟุตบอลไทยกับการไปเล่นต่างแดน โดยเฉพาะในยุโรปดูเป็นเรื่องที่ยากเกินไป อากาศมันหนาว เหงาก็เหงา อาหารก็ไม่อร่อย โค้ชและเพื่อนร่วมทีมก็ไม่ให้การยอมรับ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ดูจะเปล่าประโยชน์

บรรทัดข้างต้นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมเขียนขึ้นเอง แต่เป็น ‘เรื่องราว’ ที่ผมเคยถามไถ่เป็นการส่วนตัวหรือได้ยินมาจากคนที่เคยไปค้นหาความฝันในต่างแดน

จาก ‘เอล มุ้ย’ ถึง ‘เมสซีเจ’ สู่แรงบันดาลใจของเด็กรุ่นต่อไป

อย่างไรก็ดี คนไทยเราก็มีนักฟุตบอลอาชีพที่ค้าแข้งในลีกระดับสูงสุดของยุโรปอย่าง ‘ลา ลีกา’ มาแล้ว

ธีรศิลป์ แดงดา ไม่ได้เป็นเพียงนักฟุตบอลไทยคนแรกที่ได้ลงสนามในลีกระดับท็อปไฟว์ของโลก เขายังทำประตูได้ด้วย กับการหลุดเดี่ยวเข้าไปทำประตูคู่แข่ง เรอัล เบติส ในรายการ โคปา เดล เรย์ หรือ ‘คิงส์คัพ’ ของสเปน ใน ‘วันพ่อ’ 5 ธันวาคม 2014

มันอาจจะเป็นเพียงประตูเดียวในช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่แสนสั้นสำหรับนักฟุตบอลอาชีพ

แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิตของศูนย์หน้าที่ดีที่สุดคนหนึ่งของทีมชาติไทย

ผมเองเชื่อว่าคนไทยเองก็อยากเห็นเมสซีเจทำได้แบบเดียวกันกับ เอล มุ้ย ครับ

ถึงทีมที่มีข่าวกับเขาจะไม่ใช่สโมสรในยุโรป และเป็นสโมสรน้องใหม่ในเจลีกอย่าง คอนซาโดเล ซัปโปโร แต่ก็ถือเป็นทีมที่น่าจับตามองไม่น้อย

คอนซาโดเล ซัปโปโร คือสโมสรฟุตบอลแห่งแรกของฮอกไกโด และเป็นเจ้าของแชมป์เจทู หรือดิวิชัน 2 ของฟุตบอลญี่ปุ่น (ขณะที่ ชิมิสึ เอสพัลส์ ที่เจเคยไปทดสอบฝีเท้าเป็นแค่รองแชมป์) ซึ่งจะได้ขึ้นชั้นสู่ระดับเจลีกในฤดูกาลหน้า

ทีมนี้ยังมีอดีตซูเปอร์สตาร์ทีมชาติญี่ปุ่นอย่าง ชินจิ โอโนะ อยู่ด้วย

ความจริงจะเป็นทีมอะไร จะเป็นทีมในระดับเจลีก, เคลีก (เกาหลี) หรือ ไชนีส ซูเปอร์ลีก ที่กำลังโด่งดัง ผมก็อยากเชียร์ให้เจไปทั้งนั้น

ผลดีนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวของเจที่จะได้ยกระดับการเล่นของตัวเอง เก็บเกี่ยวความรู้ และประสบการณ์ใหม่ๆ เท่านั้น

การเดินทางของเขาจะยังเป็นความหวังและแรงบันดาลใจสำหรับเด็กรุ่นต่อไปด้วย

เพราะก่อนที่ญี่ปุ่นจะเก่งกาจในเกมฟุตบอลเหมือนในวันนี้ ก่อนที่จะมีซูเปอร์สตาร์มากมายที่ไปค้าแข้งในยุโรป ก่อนจะมี ชินจิ คางาวะ ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ค้าแข้งกับสุดยอดสโมสรอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (และปัจจุบันกลับไปเป็นกำลังสำคัญให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมระดับท็อปของเยอรมันอีกครั้ง)

พวกเขาเองก็เคยมีรุ่นพี่อย่าง คาซูโยชิ มิอุระ หรือ ‘คาซู’ (แม้จะถูกค่อนขอดว่าได้ไปเล่นใน กัลโช เซเรีย อา กับ เจนัว ก็เพราะมีสปอนเซอร์อย่าง เคนวูด ช่วยเปิดทางให้) หรือ ฮิเดโตชิ นากาตะ ที่แผ้วทางมาให้ทั้งนั้น

ถ้าประเทศไทยจะมีใครสักคนที่ทำหน้าที่นั้นต่อจาก ธีรศิลป์ แดงดา หนึ่งในคนคนนั้นก็ควรจะเป็น ชนาธิป สรงกระสินธ์

เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว เจเป็นนักฟุตบอลที่มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท ใจสู้ มีระเบียบวินัย ใฝ่ดี มีไมตรีจิต และกตัญญูรู้คุณ

จะดีแค่ไหนหากเด็กไทยจะเลือกเดินตามฮีโร่คนนี้

ผมเชื่อว่าวงการฟุตบอลไทยจะไปได้อีกไกล

ย้อนกลับไปถึงคำพูดของโค้ชคนดัง – ถึงระดับมาตรฐานการเล่นของญี่ปุ่นจะสูงกว่า และถึงแม้ว่าซัปโปโรจะเป็นเมืองหนาว ซึ่งไม่มากก็น้อยย่อมส่งผลกระทบต่อร่างกายของเด็กร่างเล็กที่เกิดและเติบโตในเมืองร้อนอย่างประเทศไทย

แต่ผมเชื่อว่า เจจะทำได้ และน่าจะทำได้ดี

และนี่อาจเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่ก้าวต่อไปที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ไม่แน่จากเจลีก เจอาจจะไปได้ไกลถึงพรีเมียร์ลีก, ลา ลีกา หรือบุนเดสลีกา

เพราะอนาคตของเด็กคนนี้มีอีกไกล

แต่จะได้ไปหรือไม่ ขอให้รอติดตามข่าวคราวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง เพราะกระบวนการเจรจาทางลูกหนังนั้นซับซ้อนและอะไรก็เกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม ในฐานะแฟนบอลคนหนึ่ง ผมอยากจะบอกให้เจได้รู้ไว้

ถ้าเขาเลือกที่จะไป – ผมเชียร์สุดใจ และไม่ว่าการผจญภัยครั้งนี้จะยากเย็นหนักหนาสาหัสแค่ไหน

ไม่ต้องกังวล ยังมี ‘อ้อมกอด’ และ ‘รอยยิ้ม’ รอเขาอยู่ตรงนี้เสมอ

 

FACT BOX:

เมสซีเจ: สมญานี้แฟนบอลชาวไทยตั้งให้ ชนาธิป สรงกระสินธ์ หลังแจ้งเกิดในรายการ ซูซูกิ คัพ เมื่อปี 2012 เนื่องจากเป็นนักฟุตบอลที่มีรูปร่างเล็ก มีความคล่องแคล่ว มีเทคนิคการเล่นที่เหนือชั้น และยังเป็นนักเตะที่ถนัดซ้ายเหมือนลิโอเนล เมสซี

คอนซาโดเล ซัปโปโร: สโมสรฟุตบอล ฮอกไกโด คอนซาโดเล ซัปโปโร ที่มีข่าวกับชนาธิปนั้น เป็นสโมสรฟุตบอลที่ก่อตั้งขึ้นใหม่เมื่อปี 1996 หรือ 20 ปีก่อน มีนกฮูกบลาคิสตันเป็นตัวนำโชค เดิมชื่อ โตชิบ้า เอสซี (ก่อตั้งในปี 1935) เป็นทีมกีฬาทีมแรกของจังหวัดฮอกไกโด และเป็นสโมสรอาชีพแห่งเดียวที่มีชาวเมืองฮอกไกโดเป็นผู้ลงทุนในนาม ‘สมาคมผู้ถือหุ้นสนับสนุน’ เพื่อให้ชาวเมืองได้มีส่วนร่วมกับการสร้างนักกีฬาอาชีพชาวท้องถิ่นฮอกไกโด เรียกว่าเป็นทีมฟุตบอลที่มีแพสชันสูงมาก

ส่วนคำว่า ‘คอนซาโดเล’ ที่ดูแปลกแหวกแนวนั้น มีที่มาที่น่าสนใจและสนุกทีเดียว โดยเป็นชื่อที่แปลงจากคำว่า ‘โดซันโค’ ซึ่งหมายถึงชาวท้องถิ่นฮอกไกโด เอามาอ่านกลับหลังเป็น ‘คอนซาโด’ แล้วเติมคำว่า ‘โอเล่’ (Ole) เพื่อให้เรียกง่ายติดปาก ก็เลยออกมาเป็น ‘คอนซาโดเล’ นั่นเอง

อีกเรื่องหนึ่งที่ควรรู้คือสโมสรคอนซาโดเล ซัปโปโร มีสโมสรในเครืออยู่ประเทศไทยด้วยคือ ขอนแก่น เอฟซี

 

DID YOU KNOW?

ขนาด ‘เมสซี’ ยังเลือก ‘เมสซีเจ’ 

ถึงจะเคยออกปากว่าไม่ชอบที่คนเรียกเขาว่า ‘เมสซีเจ’ เพราะอยากให้รู้จักและจดจำเขาในฐานะ ‘ชนาธิป’ แต่นักฟุตบอลร่างเล็กที่สูงเพียง 160 เซนติเมตร ก็โด่งดังขึ้นมาทันทีเมื่อได้รับการเลือกจาก ลิโอเนล เมสซี ราชาลูกหนังยุคนี้ให้ติด 1 ใน 10 นักฟุตบอลดาวรุ่งอนาคตไกลของโลกในแคมเปญ Backed by Messi ซึ่งจะได้โอกาสสวมรองเท้าฟุตบอลรุ่นเดียวกับเมสซี

ถึงจะดูเป็นเรื่องของการตลาดอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่า ‘ยืด’ สำหรับทั้งตัวของเมสซีเจ และแฟนบอลคนไทยทุกคน