“โคตรสำคัญ!”

นิ้วกลม หรือ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ พูดคำนี้ออกมามากกว่าหนึ่งครั้ง ระหว่างที่เรานั่งสนทนากันในห้องซ้อมทอล์กโชว์ ในโรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ ชั้น 7 สยามสแควร์วัน

นิ้วกลมบอกว่า การแสดง ‘10 ปี นิ้วกลม ทอล์กโชว์ไม่มีขา’ ครั้งนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่เคยทำในชีวิต

ยากชนิดที่ว่า เขาใช้ชีวิตเกือบทั้งวันในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนเริ่มแสดงอยู่ที่นี่ โฟกัสกับสิ่งนี้ โดยไม่สนใจว่า โดนัลล์ ทรัมป์ จะได้เป็นประธานาธิบดี หรือโลกกำลังจะเกิดอะไรขึ้น

รู้แค่ทุกๆ วัน เขาจะมาซ้อม ซ้อม และซ้อม เพื่อทำให้โชว์นี้ดีที่สุด เพื่อบอกเล่าเรื่องราว ผู้คน และผลึกความคิดที่เขาเพิ่งค้นพบ

หลายเรื่องดูเหมือนนิ้วกลมในวันนี้ที่เป็นคนช่างคิดจะคิดจบ

หลายประโยคที่พูดออกมา อาจทำให้ใครบางคนที่เคยกระทบเขาว่าโลกสวย อาจต้องคิดใหม่

ภายนอกที่ได้เห็น นิ้วกลมดูนิ่ง ผ่อนคลาย หัวเราะง่าย

ภายในแม้ยากจะเดา แต่คำพูดและความคิดของเขาสะท้อนถึงเงาของความเข้าใจที่ดิ่งลึกในอะไรบางอย่าง

นิ้วกลมวันนี้ไม่เหมือนนิ้วกลมในหนังสือที่เคยอ่านเมื่อหลายปีก่อน

ราวกับว่าเขากำลัง ‘เปลี่ยนผ่าน’ ไปสู่ในอีกช่วงวัยหนึ่งของชีวิต

และถ้าเข้าใจไม่ผิด ตลอดระยะเวลาที่สนทนา เหมือนเราได้เห็นบางมิติของความคิดและความหมายของชีวิตจากนิ้วกลม ที่น่าใคร่ครวญ ชวนคิด โดยเฉพาะในประโยคที่นิ้วกลมหล่นคำว่า

“โคตรสำคัญ!”

จะถึงวันที่คุณจะขึ้นทอล์กโชว์แล้ว รู้สึกยังไง

รู้สึกหลายอย่างมาก แต่ถ้าชัดเจนที่สุดคือ ตื่นเต้น เรากำลังจะไปทำงานที่มันยากมาก สำหรับเราอาจจะเรียกได้ว่ายากที่สุดเลยก็ว่าได้ แล้วเราไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้นานแล้ว เหมือนความรู้สึกตอนมัธยมที่ซ้อมบาสเพื่อลงเล่นในวันกีฬาสี มันเฝ้ารอนะ ในขณะเดียวกันก็ตื่นเต้น ในขณะเดียวกันก็กลัวแพ้

เครียดไหม

ไม่เครียด รู้สึกว่าตัวเองสนุก… สนุกมาก แล้วก็มีพลังมาก มีความสุข มันเป็นช่วงเวลาที่แปลกมากในช่วง 2 สัปดาห์นี้ที่เราอยู่ซ้อมที่โรงละคร เราโฟกัสกับเรื่องๆ เดียว มันแทบจะตัดทุกเรื่องออกไป ไม่สนว่าโลกจะเกิดอะไรขึ้น ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีแล้วยังไง โลกมันหดลงเหลือแค่จุดที่เราโฟกัส วันๆ ตื่นมาแล้วก็รู้ว่า ต้องมาทำอันนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เพื่อที่จะค่อยๆ ทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ

ทำไมถึงบอกว่าการทำทอล์กโชว์ครั้งนี้ เหมือนทำให้คุณกลับไปรู้สึกเหมือนตอนอยู่มัธยม

ทุกครั้งเวลาคนเราทำอะไรที่มันท้าทาย มันก็เหมือนเรากลับไปเป็นเด็กอีกรอบ เพราะว่าเวลาที่เราทำอะไรที่ตัวเองถนัดมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะชำนาญ เราจะเอาอยู่ แต่ว่ามันก็ทำให้คุณแก่ไปพร้อมๆ กัน ถ้าเริ่มรู้สึกว่าคุณชำนาญอะไรสักอย่าง เราว่ามันจำเป็นที่จะต้องกระโดดลงไปในสนามใหม่ แล้วเวลาที่ลงไปในสนามใหม่ คุณจะกลับไปเป็นเด็ก เพราะว่าเด็กคือวัยที่ทั้งกลัว แต่ก็อยากลอง

ชีวิตคนเรามันควรหาโจทย์ที่ยากเสมอ
เพราะว่าเวลาที่คุณทำโจทย์ที่ยาก มันจะนำมาซึ่งเรื่องราวใหม่ๆ

ช่วงนี้รู้สึกว่าตัวเองแก่

ใช่ พอเริ่มรู้สึกแล้วว่าเริ่ม ‘อยู่มือ’ เราก็อยากลองทำอะไรใหม่ แล้วไอ้ความอยู่มือมันเกิดขึ้นมาพร้อมกับความมั่นใจผิดๆ มันจะมีความรู้สึกว่าแค่นี้ก็ได้ ทำแค่นี้ก็ผ่านละ ทำแค่นี้ก็คงจะเป็นไอเดียที่ดีแล้ว แต่ว่ามันจะลดทอนความรู้สึกท้าทายตัวเองลงไป ความกระเหี้ยนกระหือรือมันหายไป เวลาเราเริ่มต้นทำงานอะไรใหม่ๆ เราจะมีความรู้สึกอยากทำให้มันดีว่ะ ถ้าเกิดเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วมันไม่ได้มีสเต็ปของการพัฒนาตัวเอง มันก็มีโอกาสที่จะทำให้เราเฉื่อยลงเรื่อยๆ คิดว่าการกระโดดลงสนามใหม่ ก็น่าจะสร้างอารมณ์นี้ขึ้นมาได้ใหม่

เรื่องที่จะพูดใน ‘10 ปี นิ้วกลม ทอล์กโชว์ไม่มีขา’ เป็นเรื่องอะไร

ถ้าพูดภาพรวมก็เป็นเรื่องราว ผู้คน และผลึกความคิดบางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสิบกว่าปี เป็นสิบกว่าปีที่รู้จักกับผู้อ่าน แต่เรื่องที่พูดจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเล่าในหนังสือเลย เพราะฉะนั้นก็จะมีเรื่องราวของผู้คนที่น่าสนใจ ผู้คนที่เป็นแบบอย่าง เป็นแรงบันดาลใจ หรือว่าผู้คนที่เรารู้สึกว่ามีชีวิตที่ตลกดีว่ะ แล้วก็มีเรื่องของการเดินทาง ว่าเดินทางไปเจออะไรมาสนุกๆ ก็จะเอาเล่าให้ฟัง แล้วท้ายที่สุดก็น่าจะเป็นผลึกความคิดอันหนึ่งที่คิดว่าได้มาจากช่วงเวลานี้ เป็นความคิดที่เพิ่งคิดตก เป็นคุณค่าของชีวิตในช่วงเวลานี้

เห็นสเตตัสไม่กี่วันก่อน มีรูปคุณนั่งอยู่หน้าคอมฯ บอกว่ากำลังแก้บทอยู่ ตกลงตอนนี้บทเสร็จหรือยัง

(หันไปมองผู้กำกับ) ยังครับ (หัวเราะ) จริงๆ โครงบทไฟนอลแล้วแหละ เราว่ามันเหมือนละครเวที ถ้าใครเคยทำละครเวทีก็คงจะรู้ว่า มุกหรือว่าจังหวะมันเติมตลอด ซึ่งเรื่องนี้คุณจะรู้ก็ต่อเมื่อคุณเล่น พอเล่นแล้ว เฮ้ย! บางทีขยับตัวแบบนี้ มันน่าจะมีมุกนี้เพิ่มขึ้น ตรงนั้นคงไม่เรียกว่าบท แต่เป็นเรื่องรายละเอียด ก็ต้องเติมลงไปเพื่อให้มันสนุกที่สุด หรือว่าให้มันได้อารมณ์แบบที่อยากได้มากที่สุด

ได้ยินว่าปกติซ้อมถึงหนึ่งทุ่ม อย่างเมื่อวานก็ซ้อมจนถึงห้าทุ่ม กลับบ้านไปมีนอนฝันบ้างไหม

(หัวเราะ) อยากจะฝันเหมือนกัน แต่นอนหลับสนิทมาก เพลียมาก เหนื่อย โคตรเหนื่อย

การซ้อมหนักๆ จนไม่สนใจเรื่องอื่น คุณได้เรียนรู้อะไรจากตรงนี้บ้าง

ชีวิตคนเรามันควรหาโจทย์ที่ยากเสมอ เพราะว่าเวลาที่คุณทำโจทย์ที่ยาก มันจะนำมาซึ่งเรื่องราวใหม่ๆ แล้วเรื่องราวใหม่ๆ เหล่านี้จะตามมาด้วยสารพัดสิ่ง ความตื่นเต้นใหม่ๆ ความทุกข์ใหม่ๆ ความสุขใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ และปัญหาใหม่ๆ แล้วสิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่จะสร้างเรื่องราวใหม่ๆ ให้กับชีวิตเรา

สำหรับตัวเราเอง มันก็ได้สร้างของใหม่ขึ้นมาบนโลกใน 2 มิติ มิติที่หนึ่งคือ ความใหม่ที่เป็น ‘สิ่งของ’ อีกมิติคือสิ่งที่เป็น ‘ข้างใน’ ตัวเรา ทุกครั้งที่เราลองทำอะไรที่ยาก ตัวเราเองจะเติบโต ซึ่งพอมันเป็นแบบนั้น เราจะรู้สึกมีชีวิตชีวา แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาใหม่ ข้างในคุณหยุดเติบโตแล้ว เหมือนไม้ที่มันตาย เพราะธรรมชาติของสิ่งที่ไม่มีชีวิตคือการไม่เติบโต เมื่อไหร่ที่เราเริ่มหยุดเติบโต ข้างในมันก็อาจจะเกิดภาวะที่เริ่มรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมายนี่หว่า โดยเฉพาะถ้าเป็นคนที่คิดมากนะ

สังเกตว่า ปีนี้นิ้วกลมทำอะไรเยอะมาก ทั้งทอล์กโชว์ Mad About ล่าสุดก็เห็นบริษัท The 101 Percent เปิดรับสมัครและมีแผนว่าจะทำสื่อแนวใหม่ คำถามคือทำไมนิ้วกลมทำอะไรอีรุงตุงนังขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้น

บังเอิญมากกว่า แต่คิดว่าทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากความรู้สึกเบื่อ เบื่อชีวิตตัวเอง ซึ่งในความเบื่อชีวิตตัวเองก็มีความรู้สึกหนึ่งที่ซ้อนกันอยู่ คือเบื่อสภาพสังคม เรารู้สึกว่าสังคมช่วงนี้ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวของความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งส่วนตัวเราจะรู้สึกสนุกเวลาอยู่ในสังคมที่มีความคิดเยอะๆ และคนได้ถกเถียงกัน หรือว่ามีงานสร้างสรรค์ที่มันท้าทาย มีเมสเสจที่น่าสนใจ มันจะมีความคิดสนุกๆ แต่เราคิดว่าช่วงปีนี้ที่ผ่านมา ในฐานะผู้เสพ เรารู้สึกว่ามันค่อนข้างเงียบ ก็เลยทำนู่นทำนี่ดีกว่า

เป็นวิกฤตวัยกลางคนหรือเปล่า

ไม่แน่ใจว่าจะเรียกแบบนั้นได้หรือเปล่า เรามองตัวเองแล้วรู้สึกว่ามันก็เหมือนกับคนที่มีความฝันในวัยหนุ่ม มีฝันต่างๆ นานา ก็รู้สึกว่าเราได้ตอบตัวเองแล้ว เช่น อยากเขียนหนังสือ อยากมีคนรู้จัก เราว่าวัยหนุ่มมันแสวงหาอะไรบางอย่างแบบนี้ แสวงหาความรักจากผู้คน แสวงหาการยอมรับ ชื่อเสียง หน้าที่การงาน หรือกระทั่งเงินทอง เพื่อที่บอกกับตัวเองว่าฉันมั่นคงแล้ว มันเป็นสิ่งที่คนหนุ่มสาวโคตรแสวงหาเลยนะ แต่พอคุณได้มันมาแล้ว กลับรู้สึกว่าแล้วไงต่อ มันเป็นคำถามของช่วงวัยนี้ที่ต้องตอบ บางคนตอบด้วยการมีลูก แล้วถ้าไม่มีลูก คุณจะตอบด้วยอะไร

สิ่งที่ต่างจากเดิมมากก็คือ ‘ไม่สำเร็จบ้างก็ได้’ ซึ่งมันดีนะ
เพราะว่าตอนวัยหนุ่มรู้สึกว่าต้องทำให้ได้ กูต้องไปให้ถึง
แต่ตอนนี้เราอาจจะเคยไปถึงมาหลายเขาแล้ว
ไม่ถึงบ้างก็ได้ว่ะ ไม่เป็นไร แต่ได้ทำ

ก่อนหน้านี้ที่พูดถึงอดีต คุณใช้คำว่า ‘วัยหนุ่ม’ แล้วตอนนี้มองตัวเองอยู่ในวัยไหน

ก็คงผ่านวัยหนุ่มมาแล้วล่ะ (หัวเราะ) เพราะวัยหนุ่มสำหรับเรา เรานิยามว่าเป็นช่วงอายุประมาณ 20-30 เราว่านั่นคือวัยที่เต็มไปด้วยพลัง สับสน มีความกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะครองโลก แต่ตอนนี้ก็คงเป็นวัย post-หนุ่ม (หัวเราะ) เหมือนโมเดิร์นกับโพสต์โมเดิร์น แม่งอาจจะสนุกกว่าโมเดิร์นก็ได้

ตอนนี้เราผ่านวัยนั้นไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าเราจะตายซาก มันกลับมีคำถามใหม่ๆ เมื่อก่อนเราเคยคิดว่าคนที่โตแล้วแม่งก็คงหมดคำถาม เข้าใจโลก บรรลุ อย่างเวลาอ่านงานเขียนพี่ๆ ก็รู้สึกว่า เฮ้ย เขาเข้าใจโลกมาก แต่พอเรามาแก่เองก็รู้สึกว่า ไม่จริงมั้ง แม่งก็มีโจทย์ใหม่อยู่ดี คุณก็มีปัญหาใหม่ มีความทุกข์ใหม่ มันก็สนุกดี แล้วคุณก็ต้องตอบตัวเองด้วยคำตอบใหม่ๆ ส่วนความอยากทำนู่นทำนี่ มีโปรเจกต์ มีความฝัน อาจจะไม่ได้ต่างจากเดิม แต่สิ่งที่ต่างจากเดิมมากก็คือ ‘ไม่สำเร็จบ้างก็ได้’ ซึ่งมันดีนะ เพราะว่าตอนวัยหนุ่มรู้สึกว่าต้องทำให้ได้ กูต้องไปให้ถึง แต่ตอนนี้เราอาจจะเคยไปถึงมาหลายเขาแล้ว ไม่ถึงบ้างก็ได้ว่ะ ไม่เป็นไร แต่ได้ทำ

พอทำทอล์กโชว์ซึ่งเป็นเรื่องราวสิบกว่าปีของนิ้วกลม คุณได้ย้อนกลับไปทบทวนเรื่องราวต่างๆ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเองบ้างไหม

เราว่าเราจี๊ดจ๊าดน้อยลงนะ เราตะโกนน้อยลง เราขวางโลกน้อยลงด้วย ตอนนิ้วกลมออกหนังสือเล่มแรกๆ มันกวนตีนมากนะ มันตั้งคำถามกับโลกเยอะ มันเชื่อมั่นในตัวเองสูง โตเกียวไม่มีขา ก็แบบว่าออกมาตามความฝันกันเถอะ อิฐ ก็ เฮ้ย พวกมึงทำอะไรอยู่ ทำไมไม่คิดแบบนี้ คือเราว่ามันเปรี้ยวมาก แล้วเราชอบด้วย ตอนนี้ก็ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว หรืออยากจะเป็นก็เป็นไม่ได้

จริงๆ คำถามใหญ่ของตัวเองตอนนี้ก็ไม่ใช่คำถามว่า เราจะบรรลุความฝันยังไงแล้ว แต่เป็นคำถามว่า เราจะอยู่ร่วมกับคนอื่นยังไงให้สันติสุข หรือเราควรทำตัวแบบไหนวะ เราถึงจะอยู่ร่วมกับคนที่เรารู้แล้วแหละว่าเราเปลี่ยนแปลงใครไม่ได้ และเราไม่ได้คิดเหมือนกัน แล้วก็เราไม่ได้เป็นคนที่คิดถูกด้วย เขาก็ถูกของเขา เราต้องอยู่ร่วมกันแบบไหนวะ

คำถามใหญ่ของตัวเองตอนนี้ก็ไม่ใช่คำถามว่า
เราจะบรรลุความฝันยังไงแล้ว แต่เป็นคำถามว่า
เราจะอยู่ร่วมกับคนอื่นยังไงให้สันติสุข

อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้หันมาสนใจเรื่องสังคมมากขึ้น

คิดว่าเกิดจากสิ่งที่มากระทบ คนเรามี 2 มิติ หนึ่งมิติส่วนตัว สองมิติทางสังคม เราคิดว่าความเปลี่ยนแปลงของทั้งสองสิ่งนี้กระทบตัวเราทุกคน แล้วความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองมีผลมากกับการเปลี่ยนความสนใจ เพราะว่าแต่ก่อนเราคิดว่าตอนเด็กๆ ไม่ได้มีความขัดแย้งในสังคมสูงขนาดนี้ ทีนี้พอมันเกิดความขัดแย้งครั้งแล้วครั้งเล่า มันก็เห็นอยู่ตำตา เพราะมันอยู่ในเฟซบุ๊ก ในทีวี แน่นอน มันก็ต้องเกิดคำถามว่า “เกิดเหี้ยอะไรขึ้นอยู่วะเนี่ย?” เราว่าทุกคนก็เป็น เราก็เลยหาคำตอบ ถ้าชอบอ่านหนังสือก็อ่านหนังสือ ก็คุยกับคน พอเราเริ่มสนใจ มันก็จะดึงดูดเราไปเจอคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน ได้พบกับ อ.ปกป้อง (ปกป้อง จันวิทย์) พี่หนุ่ม-โตมร (โตมร ศุขปรีชา) หลังจากนั้นก็เริ่มได้คุยกับพี่ๆ ทั้งหลายที่เป็นนักเขียน พี่โญ (ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา) ก็คุยกับเขา ฟังเขา แนะนำหนังสือมาให้อ่านกันบ้าง จากนั้นก็ค่อยๆ สนใจเรื่องสังคมมากขึ้น ซึ่งเป็นความสนใจในฐานะคนคนหนึ่งที่อยู่ในสังคม

พอหันมาสนใจมองสังคมมากขึ้น คุณมองเห็นอะไรในสังคมไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก แล้วความเปลี่ยนแปลงนั้นก็นำมาซึ่งความไม่ชัดเจน เราคิดว่ามันเต็มไปด้วยความไม่มีใครรู้ เหมือนคุยกับใครก็ไม่เห็นมีใครมีคำตอบว่า สังคมจะเปลี่ยนไปสู่อะไร หรือว่าเราจะคลี่คลายไปได้ยังไง

ทุกคนเห็นอยู่แล้วแหละว่ามันมีความขัดแย้งของอุดมคติทางการเมืองและสังคมที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นมากกว่านั้น เราคิดว่าเป็นเรื่องที่มันซับซ้อนมาก เช่น เรื่องของการบริโภคสื่อสมัยใหม่ ที่แต่ละคนก็เลือกที่จะบริโภคอยู่ใน Filter Bubble ของตัวเอง ก็เลยยิ่งไปเพิ่มความขัดแย้งมากขึ้นไปอีก

นอกจากนั้นก็มีเรื่องของการปะทะกันระหว่างเจเนอเรชัน เวลาได้สัมผัสคนเจเนอเรชันใหม่ๆ ก็ค้นพบว่า โห บางคนเขาก็อยู่กันคนละโลกกับเราเลย แล้วในเจเนอเรชันแต่ละเจเนอเรชันมันมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกันอีก เช่น รุ่นใหม่บางคนโตมาโดยมีความคิดแบบลิเบอรัลมาก กับอีกจำนวนหนึ่งก็อาจไม่ได้สนใจโลกเลยก็ได้ กูขายครีมอย่างเดียว บางคนก็อาจจะตั้งฉายาเป็นกลุ่มนักเลง คือมันแตกแยกย่อยมาก แล้วเราคิดว่าไม่ได้เป็นแค่ประเทศไทย แต่เป็นทั้งโลก แน่นอนเราอยู่ในประเทศไทย เรามองประเทศตัวเอง มันไม่มีเมนสตรีม เราคิดว่านี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจ สังคมที่มันไม่มีประเด็นหลักของสังคม มันจะยึดโยงกันด้วยอะไร ซึ่งยังเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ

แน่นอนเราอยู่ในประเทศไทย เรามองประเทศตัวเอง
มันไม่มีเมนสตรีม เราคิดว่านี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
สังคมที่มันไม่มีประเด็นหลักของสังคม มันจะยึดโยงกันด้วยอะไร
ซึ่งยังเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ

ก่อนหน้านี้คุณบอกว่า ถ้าสังเกตหนังสือของนิ้วกลมช่วงหลังๆ จะมี 2 เรื่องหลักๆ คือ สังคมและจิตวิญญาณ อยากรู้ว่าคุณเริ่มสนใจเรื่องไหนก่อนกัน

อันนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจ จริงๆ สนใจเรื่องของจิตใจมานานแล้วครับ ตั้งแต่เริ่มมีความทุกข์ใหม่ๆ (หัวเราะ) คือตอนที่เป็นหนุ่มโดยเฉพาะช่วงมหา’ ลัย เราว่ามันเป็นช่วงวัยที่เต็มไปด้วยความทุกข์สารพัดเรื่อง ความรัก การเรียน การงาน อยากเอาชนะคนอื่น ด้วยความที่ชอบอ่านหนังสือ ก็เลยอ่านหนังสือธรรมะมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็รู้สึกว่าธรรมะมันเยียวยา ช่วยเปลี่ยนวิธีคิดของเราหลายๆ อย่าง ทำให้เราไม่เอาตัวเองเป็นใหญ่ แล้วก็ปล่อยวางได้บ้างในบางเรื่อง จากนั้นพอมีโอกาสมาทำรายการ พื้นที่ชีวิต ก็ยิ่งสนใจมากขึ้นไปอีก เพราะว่าตัวเนื้อหารายการก็บังคับให้ต้องสนใจ แล้วพอได้ทำก็ยิ่งรู้สึกว่าเนื้อหาเหล่านี้มีความจำเป็นกับชีวิตเรา คือชีวิตมันต้องการทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งคือเราต้องการวัตถุ เพื่อทำให้เรามีความสุข อีกด้านหนึ่งเราก็ต้องมีเรื่องของจิตใจมาคอยถ่วงดุลให้รู้ว่า จริงๆ แล้วความสุขที่แท้จริง ความต้องการที่แท้จริงอยู่ตรงไหน

ทีนี้คำถามนี้มันน่าสนใจตรงที่ว่า มันเป็นคำถามที่เราถามอยู่ในช่วงนี้พอดี บางช่วงที่เราสนใจเรื่องสังคม อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเมืองหรือสังคมมากๆ เราก็จะรู้สึกว่า มันมีบางมิติที่หายไป ซึ่งมันคือมิติทางจิตใจ บางทีเราใช้เหตุผลมาเถียงกัน มารบราทางความคิดเยอะกันมาก แล้วก็รบกันไม่ชนะ เพราะว่ามันซับซ้อน แล้วแต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเอง เราคิดว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญในตัวนักรบคือต้องมีมิติของจิตใจด้วย คือเราต้องต่อสู้กันในฐานะที่เราเป็นคนที่มีหัวใจ แล้วเราจะเห็นคนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วก็คุยกันด้วยความเป็นมนุษย์ ด้วยการตั้งเป้าหมายว่า เราจะอยู่ด้วยกันนะเว้ย ไม่ใช่ว่าต้องฆ่าฟันชนิดมีกูไม่มีมึง ซึ่งบางครั้งเวลาที่เราใช้เหตุผลเถียงกัน เราจะเผลอกลายเป็นคนแบบนั้น

แล้วในอีกแง่หนึ่งคือ ถ้าตัวเราเป็นนักรบ แล้วเราไม่มีชีวิตด้านในเลย เราใช้แต่หัวสมอง มันมีโอกาสสูงมากที่เราจะเป็นมนุษย์ตรรกะที่กลายเป็นคนที่คิดทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล แล้วมันต้องเป๊ะ 1+1 = 2 แต่ว่าถ้าคุณใช้ใจ บางครั้งคุณอาจจะลองหย่อนลงหน่อยได้ เพื่อที่ว่าเราอาจจะคุยกับคนคนนี้รู้เรื่อง แล้วถ้าเราไม่มีมิติทางจิตใจเลย คนที่เครียดมาก คนที่เจ็บปวด แม่งก็คือเรา คุณจะต่อสู้ด้วยอุดมการณ์อะไรก็แล้วแต่ทางสังคม หรือคุณจะอยากเห็นสังคมในอุดมคติยังไงก็ตาม ข้างในคุณต้องรุ่มรวย ต้องชุ่มชื่นพอ เพราะถ้าข้างในคุณแห้งแล้ง คุณจะเครียดและเจ็บปวดมาก

พระรูปหนึ่งเคยบอกเราว่า
เวลามีอะไรที่ ‘ขัดใจ’ เรารู้สึกว่ามันขัดใจ
แต่จริงๆ คือ มันขัดเกลาจิตใจเรา
เราคิดว่าสังคมที่เป็นอยู่อย่างนี้มันขัดใจเราทุกคน
ไม่ว่าคุณเป็นฝ่ายไหน มันขัดใจคุณอยู่ตลอดเวลา

ช่วงหนึ่งนิ้วกลมก็อาจเคยเผลอเป็นมนุษย์บ้าตรรกะ?

บางครั้งเราก็อาจจะเผลอเอียงไปทางด้านหนึ่งมากๆ แต่เราคิดว่ามนุษย์มันจัดสมดุลตัวเองอยู่ตลอดเวลา คนที่ทบทวนตัวเองอยู่เรื่อยๆ ก็น่าจะเห็นความเอียงของตัวเองว่ามึงหนักตรรกะไปแล้วนะ หรือมึงดราม่ามากเกินไปแล้ว ซึ่งก็มีช่วงหนึ่งที่พอเราคิดเยอะๆ แล้วมีความรู้สึกกระทั่งว่าหมดหวัง อย่างเรามีเพื่อนทั้งสองฝ่าย ในเฟซบุ๊กเราก็เห็นอยู่ตลอดเวลา เราก็โลกสวยอยากเห็นทั้งสองฝ่ายคุยกันได้ เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทางคุยกันได้ มันก็หมดหวัง คิดไม่ออกว่าแล้วมันจะไปยังไงต่อ เพราะเราก็อธิบายด้วยเหตุผลไปหมดแล้ว มันก็ไม่ได้แก้ไขอะไรได้เลย พอมีมิติด้านจิตวิญญาณ มันก็จะบอกเราว่า เฮ้ย มึงไม่ได้เป็นใคร มึงจะไปแบกบ้าอะไร แล้วมึงเป็นใคร จะไปทำให้เขาเข้าใจกันเหรอ บ้า… (ลากเสียง) มึงบ้า… (ลากเสียง) มึงหลงตัวเองแล้ว พอคิดได้อย่างนั้น อัตตาก็น้อยลง

พระรูปหนึ่งเคยบอกเราว่า เวลามีอะไรที่ ‘ขัดใจ’ เรารู้สึกว่ามันขัดใจ แต่จริงๆ คือ มันขัดเกลาจิตใจเรา เราคิดว่าสังคมที่เป็นอยู่อย่างนี้มันขัดใจเราทุกคน ไม่ว่าคุณเป็นฝ่ายไหน มันขัดใจคุณอยู่ตลอดเวลา ในแง่หนึ่งคือถ้ามันเป็นสังคมที่มีมิติทางจิตวิญญาณอยู่ด้วย ก็ถือโอกาสนี้ที่จะฝึกฝนจิตใจของเราทุกคน เพราะว่าสังคมมันไม่ได้เป็นไปตามที่คุณคิดร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก คุณจะประชาธิปไตย หรือคุณจะเห็นด้วยกับ คสช. อะไรก็ตาม มันไม่ได้เป็นไปตามที่คุณคิดได้ตลอด มันอาจจะวนไปแบบนี้อีก แล้วถึงวันหนึ่งเมื่อโลกไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิด แต่เราต้องอยู่กับมันไป แล้วเราก็ยังมีความหวัง แล้วเราก็อยากจะเปลี่ยนแปลงมันเท่าที่เราทำได้ ทีนี้ข้างในตัวเราเอง เราต้องจัดการยังไงวะ

แล้วเวลาที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง อย่างบางสเตตัสในเฟซบุ๊กนี่โดนถล่มเละ คุณจัดการตัวเองยังไง

สถานะที่คนทั่วไปรู้จักคือ เราไม่ได้เป็นนักเขียนที่เขียนเรื่องการเมือง แต่บางครั้งในฐานะที่เป็นคนคนหนึ่งในสังคม เราก็อยากแสดงความคิดเห็นบ้าง ส่วนตัวเชื่อว่าสังคมที่ดี มันต้องการเสียงที่หลากหลาย แล้วที่สำคัญไปกว่านั้น มันต้องการพื้นที่ให้เสียงที่หลากหลายเหล่านั้นได้แสดงออกมา เพราะถ้าเกิดสังคมส่งเสียงเสียงเดียว เสียงอีกแบบจะไม่กล้าส่งออกมา เพราะกูแตกต่างมาก หรือส่งเสียงออกมาแล้วกูโดนยำตีนแน่นอน ทีนี้บางครั้งการเจาะรูให้เสียงแบบหนึ่งออกมา มันก็ดีกับสังคม เพราะมันจะได้ถ่วงดุลสังคม นี่คือจุดเริ่มต้นของการที่บางครั้งอยากจะเขียนเรื่องเหล่านี้ออกมา

พอตั้งใจว่าจะเขียนก็มักจะไตร่ตรองกับตัวเองให้ดีที่สุดก่อน ว่าคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือหาข้อมูลเท่าที่จะทำได้ แล้วตอนที่จะนั่งลงเขียนเรื่องพวกนี้ โคตร…พิถีพิถัน (หัวเราะ) เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีตีนรออยู่นับพัน ทุกครั้งที่เขียนก็จะเขียนด้วยความรู้สึกว่าเป็นมิตร แล้วก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองถูกด้วย ทีนี้พอตั้งบนฐานนี้แล้ว แล้วเขียนออกไป ถ้ามันจะโดนก็ช่วยไม่ได้แล้ว คิดว่าก็ยอมรับ และหลายครั้งก็มีบางเสียงที่เถียงกลับมา แล้วทำให้เราได้เรียนรู้ หรือเห็นอีกมุมที่เราอาจจะไม่รอบคอบพอ

ยิ่งเรากร่อนตัวเองลงไปได้มากเท่าไร ก็คือความสุขง่ายขึ้น
ความแก่คงเป็นแบบนี้

จากสังคม ขอย้ายมาคุยเรื่องใกล้ตัวอย่างครอบครัวบ้าง ชีวิตหลังแต่งงานเป็นยังไง เหมือนที่จินตนาการไว้ไหม

ทั้งเหมือนและไม่เหมือนนะ คิดว่าแต่งงานแล้วน่าจะดี แล้วก็ดี เพราะว่ามันถึงช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าอยากมีคนมาอยู่ด้วย มันแชร์ชีวิตกัน สิ่งนี้แม่งโคตรสำคัญเลยว่ะสำหรับเรา ถ้าเกิดว่าไม่มีชิง (ชิงชิง กฤชเทียมเมฆ-ภรรยา) เราคงขาดคนคนหนึ่งที่รู้จักชีวิตเราไม่น้อยไปกว่าเราเลย เพราะอยู่ด้วยกันมา 15 ปีแล้ว พูดนิดเดียวรู้แล้ว คน นี้โคตรสำคัญ มันเหมือนเป็นตัวเราอีกคนที่ไม่ใช่เรา ซึ่งเขาจะสะท้อนเราออกมาในแบบที่เราไม่เห็นตัวเอง เช่น บางทีที่เรามั่นใจมาก เฮ้ย มึงลืมตรงนี้ไปนะ เรามั่นใจว่าเราถูก จริงๆ มึงผิดนะ ช่วงเวลาที่เราอ่อนแอ กูทำไม่ได้แน่ เฮ้ย มึงทำได้ กูเห็นว่ามึงทำได้ แม่งโคตรสำคัญ แล้วคนนี้เวลาได้มาอยู่ด้วยกันมันก็ดี

อีกมุมหนึ่งก็คือ มีเรื่องที่ไม่ได้คิดไว้ เช่น เวลาอยู่ด้วยกันได้เจอเขาตัวเต็มๆ มันก็จะเห็นว่ามีบางพาร์ตของเขาที่เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง เพื่อที่จะยอมรับสิ่งนั้น ในขณะเดียวกัน เขาคงต้องปรับตัวมหาศาลเหมือนกันที่จะยอมรับสิ่งที่เราเป็นตลอด 24 ชั่วโมงให้ได้ ซึ่งอันนี้ก็ดี มันก็ทำให้เราไม่เป็นตัวเองมาก แล้วยิ่งโตแม่งยิ่งเจออย่างที่บอก ‘ขัดใจ’ เจออะไรที่ขัดใจ แม่งจะรู้สึกว่า เฮ้ย! มันดีนะ เพราะว่ามันค่อยๆ กร่อนตัวเองลงไป แล้วยิ่งเรากร่อนตัวเองลงไปได้มากเท่าไร ก็คือความสุขง่ายขึ้น ความแก่คงเป็นแบบนี้

มุมมองเรื่องความรักเปลี่ยนไปไหม

มุมมองต่อสถานะความเป็นแฟนไม่เปลี่ยนไปมาก อาจจะเพราะยังไม่ได้มีลูกด้วยมั้ง ก็ไม่ได้มีองค์ประกอบใหม่เข้ามาในความสัมพันธ์ คล้ายๆ เดิม แต่อาจจะมองกว้างขึ้น พอดีว่าชิงแต่งเข้ามาอยู่ในบ้านเรา เพราะฉะนั้นคำว่าครอบครัวไม่ใช่แค่เรากับชิง ครอบครัวมันคือพ่อแม่เรากับชิง แล้วก็พ่อแม่ชิงกับเราด้วย ครอบครัวมันใหญ่ขึ้น

เวลาคนเราอยู่กับคนอื่น เราจะเป็นตัวเองน้อยลง ยิ่งเราไปอยู่กับคนอื่นที่มีจำนวนมากขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งเป็นตัวเองน้อยลงเท่านั้น ครอบครัวก็ทำให้เราเป็นตัวเองน้อยลง แต่มันทำให้เรารู้จักรักคนที่ต่างจากเรามากขึ้น

เราว่าสังคมก็เหมือนกัน เป็นเรื่องดี แต่มันต้องใช้เวลา มันต้องผ่านปัญหา การปรับความเข้าใจ ไม่งั้นมึงก็อยู่คนเดียว เหงา แล้วก็คงหลงผิด คิดว่าตัวมึงเจ๋งมาก

ครอบครัวก็ทำให้เราเป็นตัวเองน้อยลง
แต่มันทำให้เรารู้จักรักคนที่ต่างจากเรามากขึ้น

คุณเคยใช้คำหนึ่งว่า ‘กัลยาณมิตร’ คิดว่าการมีกัลยาณมิตรสำคัญยังไง

โคตรสำคัญ คนเราเนี่ยแม่งชอบมั่นใจตัวเองผิดๆ มีโอกาสสูงที่จะเข้าข้างตัวเอง แล้วก็คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองหล่อ สารพัดสิ่ง กัลยาณมิตรคือคนที่กล้าเสี่ยงตาย เดินมาสะกิด ชี้ให้เราเห็นจุดที่แย่มากของเราที่คนอื่นก็เห็น แต่เขาแค่ไม่บอก เพราะกลัวว่าบอกไปแล้วเราจะเกลียด แต่กัลยาณมิตรเนี่ยแม่งไม่กลัว แม่งบอก แล้วแม่งบอกบ่อยด้วย บอกอยู่นั่นแหละ เราคิดว่าสำคัญมาก เพราะเราจะสมบูรณ์ได้ เราจะอยู่ในร่องในรอยที่มันโอเคก็ต่อเมื่อมีคนแบบนี้

ถ้าเป็นทางทิเบตก็บอกว่า กัลยาณมิตรเหมือนคนที่ถือมีดคมๆ เดินไล่ตามเรามาข้างหลังตลอดเวลา แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นว่าเรามีเนื้อบางส่วนงอกออกมาประหลาดๆ เขาจะเอามีดเล่มนั้นเฉือนเอาเนื้อก้อนนั้นออกไป ซึ่งเราจะโคตรเจ็บเลยนะ โกรธแม่งด้วย แต่แม่งดี เหี้ย! ขอบคุณว่ะที่มึงเฉือนกู แล้วเราจะอยู่ในร่องในรอย จะเป็นคนที่โอเค ถ้าไม่มีคนนี้ เนื้องอกก็จะงอกตะปุ่มตะป่ำจนเรากลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้

ถ้าสิ่งที่อยู่ในทอล์กโชว์คือเรื่องราวสิบกว่าปีที่ผ่านมาของนิ้วกลม ถ้าวันนี้ให้มองไปข้างหน้าอีก 5 ปี 10 ปี มองเห็นตัวเองยังไง

เรามองไม่เห็นว่ะ (ตอบทันที) สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้จากชีวิตที่ผ่านมา ชีวิตแม่งแพลนไม่ได้ มึงแพลนอะไรไว้ แม่งไม่เคยเป็นไปตามแพลน นี่คือสิ่งที่ได้เรียนรู้ ซึ่งชัดเจนมาก แล้วเราก็คิดว่าสิ่งหนึ่งที่มันเปลี่ยนไปมหาศาลกว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ ก็คือเทคโนโลยีทำให้เราคาดเดาชีวิตตัวเองไม่ได้เลย จู่ๆ แม่งก็มี The Momentum ขึ้นมา เหี้ยแล้ว… ใครอ่านหนังสือกูล่ะเนี่ย (หัวเราะ) มันมีโอกาสที่ลมพวกนี้จะพัดเราไปอีกทางที่เราไม่เคยคิดไว้เลย แล้วตอนนี้มันเร็วมาก เพราะฉะนั้นเราคิดว่าวิธีเดาให้แม่นที่สุดคือ มึงต้องไม่เดา (หัวเราะ) มึงต้องอยู่กับมันทุกวัน แล้วก็ติดตามความเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนตัวเองได้เท่าที่ไม่ฝืนตัวเอง แล้วก็ปักหลักในจุดที่คิดว่า มันเป็นพื้นที่ของเรา

เมื่อก่อนเราเคยคิดนะว่าอนาคตต้องไปอยู่บ้านเงียบๆ ต่างจังหวัด สโลว์ไลฟ์ ชีวิตสบายๆ ไม่ต้องอยากมีอยากได้มาก เคยคิดภาพนั้นเลย ทุกวันนี้ไม่คิดภาพนั้นแล้ว แต่คิดว่าชีวิตแม่งต้องมีกราฟ บางช่วงถ้าอยากสบาย ผ่อนคลาย ก็ผ่อนคลายไปเลย แต่แม่งต้องมีกราฟชันด้วยเหมือนที่ทำทอล์กโชว์นี่แหละ ต้องทำอะไรใหม่ๆ บ้างว่ะ แล้วข้อได้เปรียบของตอนนี้ก็คือ เราไม่ต้องการพิสูจน์ตัวเองแล้ว สองก็คือว่า เราคิดว่าเราล้มเหลวก็ไม่เป็นไร และเราคิดว่าคนคงสนใจเราน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งมันดี

กัลยาณมิตรเหมือนคนที่ถือมีดคมๆ เดินไล่ตามเรามาข้างหลังตลอดเวลา
แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นว่าเรามีเนื้อบางส่วนงอกออกมาประหลาดๆ
เขาจะเอามีดเล่มนั้นเฉือนเอาเนื้อก้อนนั้นออกไป
ซึ่งเราจะโคตรเจ็บเลยนะ โกรธแม่งด้วย แต่แม่งดี
เหี้ย! ขอบคุณว่ะ

ทำไมถึงคิดว่าคนสนใจนิ้วกลมน้อยลงเรื่อยๆ เป็นเรื่องดี

ตอนเด็กๆ เราเคยตั้งคำถาม สมมติดาราที่เราเคยเห็นเขาดังๆ อยู่มาวันหนึ่งทำไมเขาหายไปเลยวะ พอโตขึ้นมาเราก็ได้คิดว่า วันหนึ่งมึงก็จะไม่ใช่คนของยุคสมัย แต่ในวันนั้นมึงก็ไม่ได้อยากเป็นคนของยุคสมัยแล้ว เราคิดว่ามันดี เพราะว่ามันเปิดพื้นที่ให้ตัวเองได้ทำอะไรใหม่ๆ บ้าง ไปลองทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเองเป็นเด็ก มองเห็นชีวิตตัวเองเป็นแบบนั้นนะ คือเป็นคนแก่ที่มีความสุขสงบในใจ แล้วก็เป็นเด็กที่วิ่งไปหาเรื่องท้าทายอยู่เรื่อยๆ สลับกันไปมา

คาดหวังอยากให้อะไรเกิดขึ้นในวันทอล์กโชว์

ไม่คาดหวังอะไรเลยว่ะ คาดหวังว่า… (คิดนาน) ไม่กล้าคาดหวัง (หัวเราะ)

หลังโชว์จบ สิ่งแรกที่อยากทำคืออะไร

ไปกินข้าวกับชิง แล้วก็ไอ้พวกนี้ (ทีมงาน) แล้วก็เจอเพื่อนสถาปัตย์ นัดกันไว้แล้ว อยากเจอเพื่อน อยากสังสรรค์ อยากเฮฮา