กระแสบนหน้านิวส์ฟีดบนโลกโซเชียลในเวลานี้คงไม่มีใครร้อนแรงและได้รับการกล่าวขวัญมากไปกว่า ‘The Weeknd’ ศิลปิน Alternative R&B จากออนแทรีโอ ประเทศแคนาดาอีกแล้ว เพราะล่าสุดเจ้าตัวเพิ่งจะปล่อยมิวสิกวิดีโอ I Feel It Coming หนึ่งในเพลงโปรดของหลายๆ คนจากอัลบั้ม Starboy (2016) ออกมาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2017 (ตามเวลาประเทศสหรัฐฯ) หลังทิ้งช่วงให้แฟนๆ ทุรนทุรายดูเอมวีเมดเลย์จาก M A N I A มาสักระยะ

ในมิวสิกวิดีโอ I Feel It Coming ยังมีฉากการทริบิวต์คารวะคิงออฟป็อป Michael Jackson ในเพลง Billie Jean (สไตล์ของชุดที่สวมใส่ และเทคนิคของฉากบางฉาก) โดยมีแขกรับเชิญสุดพิเศษ คิโกะ มิซุฮาระ (Kiko Mizuhara) นักแสดงและนางแบบสาวสัญชาติอเมริกัน-ญี่ปุ่นมาร่วมฉายเสน่ห์แพรวพราวให้หนุ่มๆ เคลิบเคลิ้มหลงใหลแบบหัวปักหัวปำอีกด้วย

แต่กว่าจะมาถึงจุดที่ความสามารถของ The Weeknd กลายเป็นที่ยอมรับจนถึงขั้นได้รับการยกย่องให้เป็น ‘New MJ’ คุณรู้หรือไม่ว่าเขาต้องฝ่าฟันผ่านอะไรมาบ้าง?

The Momentum รวบรวมเรื่องราวน่าสนใจของศิลปินผิวสีมากความสามารถรายนี้มาให้คุณได้อ่านก่อนกลับไปโยกตัวตามจังหวะเพลงของเขาให้อินขึ้นกว่าเดิม!

จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของเด็กหนุ่มแคนาดาเชื้อสายเอธิโอเปีย

น้อยคนนักที่จะรู้ว่า อาเบล แมกโคเนน เทสเฟย์ (Abel Makkonen Tesfaye) คือชื่อจริงๆ ของ The Weeknd ที่พ่อและแม่มอบให้เขาตั้งแต่ลืมตาดูโลก โดย Makkonen และ Samra คู่สามีภรรยาชาวเอธิโอเปียเลือกอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่สกาโบโรช์ รัฐออนแทรีโอ ในช่วงยุค 80’s

ช่วงชีวิตในวัยเด็กของเด็กชายเทสเฟย์อาจจะดูไม่สดใสสักเท่าไรเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆ ในวัยไล่เลี่ยกัน เพราะหลังจากที่เทสเฟย์เริ่มโตขึ้น พ่อของเขาก็ตัดสินใจแยกทางกับภรรยา ปล่อยให้เขาอาศัยอยู่กับแม่และยายตามลำพัง

เมื่อหน้าที่ดูแลลูกและการหาเลี้ยงครอบครัวตกเป็นของแม่ เธอจึงต้องทำงานหนักกว่าปกติ เด็กชายเทสเฟย์จึงได้รับการเลี้ยงดูและเอาใจใส่จากคุณยาย โดยเธอมักจะพาหลานชายไปช่วยงานที่โบสถ์คริสต์นิกายออร์ธอดอกซ์ของชาวเอธิโอเปียอยู่เป็นประจำ และทำให้เขาได้เรียนรู้ภาษาอัมฮาริค (Amharic ภาษาที่ใช้ในเอธิโอเปีย) เป็นภาษาแรกในชีวิต

หลังได้รับอิทธิพลในช่วงวัยเด็กสืบทอดมาจากคุณยาย เมื่อได้ออกผลงานในฐานะศิลปิน The Weeknd จึงแสดงออกถึงความรักและความเคารพที่มีต่อรากเหง้าตนเอง (เอธิโอเปีย) ผ่านเพลง ‘The Knowing’

(ว่าที่) ศิลปินจากแคนาดารายนี้เติบโตมาพร้อมกับเพลงหลากหลายรสชาติ ทั้งโซล ฮิปฮอป ฟังก์ อินดี้ ร็อก และโพสต์-พังก์ โดยมีศิลปินอย่าง R. Kelly,  Michael Jackson และ Prince เป็นแรงบันดาลใจ กระทั่งวันเกิดในปีที่ 17 ของหนุ่มน้อยเทสเฟย์เวียนมาบรรจบ ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปแบบคาดไม่ถึง…

ชีวิตหลังตัดสินใจหยุดพักการเรียนเมื่ออายุ 17 ปี กับที่มาของชื่อ ‘The Weeknd’

เมื่อเทสเฟย์อายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ เขาตัดสินใจหยุดพักการเรียนจากไฮสคูลและเดินทางออกจากบ้านที่โทรอนโต เพื่อเดินตามเส้นทางความฝันของตัวเอง ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์กับ Reddit ถึงที่มาของชื่อสุดแปลกนี้ไว้ว่า “พวกเรา (เขาและเพื่อน) เอาที่นอนและฟูกหมอนของพ่อแม่เราไปด้วย เราออกเดินทางไปด้วยรถตู้ของเพื่อนในกลุ่ม 1 สัปดาห์ (Weeknd) โดยไม่ได้กลับบ้าน

“ตอนนั้นผมเกลียดชื่อของตัวเองมาก เลยเปลี่ยนมาใช้ชื่อเรียกในวงการว่า Weeknd แทน เพราะรู้สึกว่ามันเจ๋งดี ส่วนที่ตัดตัว e ออกไป เพราะปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ เนื่องจากชื่อไปพ้องกับวงดนตรี The Weekend ในแคนาดา”

กระทั่งปี 2010 เทสเฟย์ในวัย 20 ปีได้พบกับ เจเรมี โรส (Jeremy Rose) โปรดิวเซอร์ผู้มีความคิดอยากจะสร้างผลงานสไตล์ Dark R&B ในชื่อ ‘The Weeknd’ และหลังจากร่วมกันปล่อยพลังไอเดียกับอีกหนึ่งนักดนตรีอย่าง เคอร์ติส ซานติอาโก (Curtis Santiago) เทสเฟย์ก็ได้ลองร้องฟรีสไตล์ในเพลงที่พวกเขาแต่งกันขึ้นมา มีรายชื่อเพลงทั้งหมด 3 เพลง What You Need, Loft Music และ The Morning

หลังจากนั้นในช่วงธันวาคมปีเดียวกัน เทสเฟย์อัพโหลดผลงานเพลงทั้ง 3 ผ่านแชนแนลยูทูบตัวเองในชื่อ ‘The Weeknd’ และได้รับเสียงตอบรับไปในทิศทางที่ดีหลัง Drake แรปเปอร์รุ่นพี่คนบ้านเดียวกันช่วยโพสต์โปรโมตเขาผ่านช่องทางโซเชียลส่วนตัว

และยังเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ฉันพี่น้องในวงการของทั้งคู่ ซึ่งปรากฏให้เห็นผ่านพื้นที่สื่อต่างๆ เป็นระยะ รวมถึงการร่วมงานด้วยกันในบางโอกาส ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Rolling Stone ไว้ว่า “ผมยกครึ่งหนึ่งของอัลบั้มผมให้กับ Drake ผมรู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะแสงไฟที่เขาช่วยฉายมาที่ผม คนก็คงไม่รู้ว่าผมเป็นใครมาจากไหน”

หลังจากนั้นเทสเฟย์ก็โลดแล่นในวงการเพลงใต้ดินด้วยการทำเพลงสไตล์ mixtapes ในนาม The Weeknd มาโดยตลอ

ก้าวเข้าสู่วงการเพลงเต็มตัวในฐานะศิลปิน R&B ดาวรุ่งในปี 2012

แม้ก่อนหน้านี้ The Weeknd จะมีผลงานและเป็นที่รู้จักมาสักระยะหนึ่งด้วยอัลบั้ม House of Balloons, Thursday และ Echoes of Silence ซึ่งในขณะนั้นนักวิจารณ์เพลงส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าเขามีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินแนวหน้าได้

แต่ชื่อเสียงและผลงานของ The Weeknd เพิ่งจะมาเริ่มได้รับความนิยมอย่างขีดสุดในปี 2012 หลังได้ร่วมโชว์ในงาน Coachella Music Festival, Wireless Festival โดยเขามีโอกาสคัฟเวอร์เพลงของศิลปินต้นแบบ MJ อย่าง Dirty Diana ซึ่งกลายเป็นเพลงที่ทำให้เขาเป็นที่จับตามองในฐานะทายาทนอกสายเลือดคนใหม่ของราชาเพลงป็อปผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย

ในปีเดียวกันนี้ The Weeknd มีโอกาสได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับต้นสังกัด Republic Records (ต้นสังกัดเพลงของศิลปินชื่อดัง Ariana Grande, Drake, Jessie J และ Nicki Minaj) โดยปล่อยอัลบั้มแรกอย่างเป็นทางการ Kiss Land เมื่อปี 2013

เจ้าตัวยังคงมีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการได้ร่วมงานกับ Ariana Grande ในเพลง Love Me Harderเมื่อปี 2014 รวมถึงการปล่อยอัลบั้มชุดที่สองของตัวเอง Beauty Behind the Madness ออกมาในปี 2015 ที่มีเพลงฮิตติดหูอย่าง The Hills, Can’t Feel My Face, Earned It (เพลงประกอบภาพยนตร์ Fifty Shades of Grey) ที่สำคัญอัลบั้มดังกล่าวยังได้รับรางวัลอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปี 2015 จากเวที American Music Awards และอัลบั้ม R&B ยอดเยี่ยมประจำปี 2016 จาก Billboard

หันมาร่วมงานกับ 2 ดูโอวงการอิเล็กโทรนิก ‘Daft Punk’

หลังเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของ The Weeknd จะเริ่มเป็นที่พูดถึงอย่างต่อเนื่อง ทั้งสไตล์ เอกลักษณ์ของน้ำเสียง และเทคนิคในการร้องที่หาตัวจับยากในวงการเพลงยุคปัจจุบัน

ราวปลายปี 2016 เขากลับมาโลดแล่นในวงการดนตรีอีกครั้งพร้อมทรงผมใหม่ และอัลบั้มใหม่ Starboy ที่ได้ร่วมงานกับศิลปินชื่อดังเป็นจำนวนมากทั้ง Diplo, Lana Del Rey, Kendrick Lamar

โดยไฮไลต์เด็ดสุดของอัลบั้มนี้คือ เจ้าตัวได้ร่วมงานกับสองดูโอเจ้าพ่อวงการเพลงอิเล็กโทรนิก Daft Punk ในเพลงโปรโมตหลัก Starboy และ I Feel It Coming ซึ่งทำให้ผู้ฟังอย่างเราได้สัมผัสความเป็น The Weeknd ในมิติที่สดใหม่ และต่างออกไปจากเดิม

ขณะเดียวกันอัลบั้ม Starboy ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่แตกต่างกันออกไปเช่นกัน บ้างก็มองว่า The Weeknd พึ่ง Daft Punk มากเกินไป จนสูญเสียความเป็นตัวเองแบบดั้งเดิม เช่น โมซี รีฟส์ (Mosi Reeves) จาก Rolling Stone ที่มองว่า “Starboy เป็นอัลบั้มที่น่าผิดหวัง”

ในขณะเดียวกันนักวิจารณ์และคนฟังส่วนมากกลับมองว่าผลงานของนักร้องหนุ่มผิวสีรายนี้ได้สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจและความฮือฮาให้กับวงการเพลงครั้งยิ่งใหญ่

โดย โนแลน ฟีนีย์ (Nolan Feeney) จาก Entertainment Weekly กล่าวว่า “ในขณะที่ดนตรีส่วนใหญ่มักจะเขียนเพลงถึงคนดังที่พวกเขารู้จักซึ่งเป็นรูปแบบการเขียนเพลงป็อปแบบเก่าๆ แต่ The Weeknd เลือกทำสิ่งที่แตกต่างออกไปด้วยการใส่ข้อสังเกตและเรื่องราวต่างๆ ลงไปในเพลง ซึ่งทำให้รู้สึกว่าเพลงของเขาพิเศษและเป็นของแท้”

ขณะที่ สกอตต์ เกลเชอร์ (Scott Glaysher) จากสำนักข่าวเพลงฮิปฮอปออนไลน์ HipHopDX มองว่า “แม้Starboy อาจจะยังไม่จัดเป็นผลงานอมตะตลอดกาลของเขา แต่มันจะช่วยทำให้ความฝันของเด็กๆ ผู้อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวในโทรอนโต มีลู่ทางของความเป็นไปได้มากขึ้น ซึ่งแม้แต่ตัวเขาก็คงไม่นึกไม่ฝันมาก่อน”

หลังผ่านมา 7 ปีในวงการเพลงของ The Weeknd สิ่งที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วไม่ใช่เพราะการที่เขามีสำเนียงเสียงร้องคล้ายไอดอลของตัวเอง (Michael Jackson) ไม่ใช่เพราะทรงผมโดดเด่นคล้ายคุณเสนาหอย และไม่ใช่เพราะการที่เขาเริ่มคบหาดูใจกับ Selena Gomez แต่เป็นเพราะความหลงใหลและการเอาจริงในสิ่งที่รัก ตลอดจนการประยุกต์สไตล์เพลงของตัวเองออกมาให้กลายเป็นผลงานศิลปะร่วมสมัยอยู่ตลอดเวลา

น่าสนใจไม่น้อยว่าในอนาคตเทสเฟย์ หรือ The Weeknd จะสั่งสมเกียรติยศและชื่อเสียงในอุตสาหกรรมวงการเพลงเพิ่มขึ้นได้แค่ไหน และจะสามารถดีดทะยานพาตัวเองขึ้นมาใกล้เคียงกับการสืบทอดบัลลังก์ราชาเพลงป๊อปต่อจากไอดอลของเขาได้หรือไม่?

อ้างอิง:

FACT BOX:

  • M A N I A คือมิวสิกวิดีโอพรีวิวเพลงแบบเมดเลย์ในอัลบั้มชุด Starboy
  • The Weeknd กวาดรางวัลได้มากถึง 8 สาขาจากการถูกเสนอชื่อเข้าชิงทั้งหมด 20 สาขาในเวที Billboard Music Awards โดยในปี 2015 เจ้าตัวได้ทั้งรางวัล Top Hot 100 Artist, Top Song Sales Artist, Top Radio Songs Artist, Top Streaming Songs Artist, Top R&B Artist, Top R&B Album (Beauty Behind the Madness), Top Streaming Song (Audio: The Hills), Top R&B Song (Earned It)

DID YOU KNOW?

  • The Weekend คือวงดนตรีป็อปร็อกสัญชาติแคนาดาที่เริ่มมีผลงานเข้าสู่วงการเพลงมาตั้งแต่ปี 1998
  • ในปี 2016 เพลง Earned It ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง Fifty Shades of Grey ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวที Academy Awards
  • ปัจจุบันเจ้าตัวกำลังคบหาดูใจอยู่กับ Selena Gomez อดีตหวานใจของ Justin Bieber โดยก่อนหน้านี้ The Weeknd เคยดูใจอยู่กับนางแบบสาว Bella Hadid อยู่พักหนึ่ง
  • ทรงผมของเขาได้แรงบันดาลใจมาจาก ฌอน มิเชล บาสเกียท์ (Jean-Michel Basquiat) ศิลปินชาวอเมริกันชื่อดัง
  • ผลงานเพลงของ Michael Jackson – We Are the World ในปี 1985 เป็นหนึ่งในเพลงสร้างแรงบันดาลใจให้กับหนุ่มน้อยสัญชาติเอธิโอเปีย เทสเฟย์ ในช่วงวัยเด็ก
Tags: