โรงหนังกลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อ Rogue One – A Star Wars Story หนังภาคล่าสุดของ Star Wars เข้าฉายในสัปดาห์นี้ (15 ธ.ค. ที่ผ่านมา)

สำหรับแฟนเดนตายคงไม่พลาดตีตั๋วเข้าชม ส่วนคนที่เคยดูมาบ้าง ก็คงยากที่จะห้ามใจไม่เข้าดู แต่สำหรับคนไม่เคยดูมาก่อน นี่อาจเป็นโอกาสแรกที่คุณจะได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของหนังที่อยู่ท้าทายกาลเวลามายาวนานถึง 39 ปี

ทำไม Star Wars ถึงกลายเป็นหนังอมตะ

ทำไมผู้คนทั่วโลกถึงคลั่งไคล้หนังเรื่องนี้

และจะเกิดอะไรขึ้นในยุคที่ Disney เข้าฮุบ Lucasfilm ผู้สร้าง Star Wars

อธิศ รุจิรวัฒน์ สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ Star Wars ได้ตอบคำถามข้างต้น โดยชี้แจงถึงที่มาที่ไป เหตุผลของความอมตะ และทิศทางในอนาคตของภาพยนตร์เรื่องนี้ ผ่านการตอบ 5 คำถามต่อไปนี้

Photo: Walt Disney Studios Motion Pictures​

 

1. เหตุผลที่ Star Wars นับตั้งแต่ Revenge of the Sith (2005) ถูกนำกลับมาปัดฝุ่นและสร้างหนังภาคต่ออีกครั้ง

จอร์จ ลูคัส (George Lucas) ได้ประกาศออกมาตั้งแต่ Star Wars Episode III: Revenge of the Sith ออกฉาย (เมื่อประมาณปี 2005) ว่าจะยุติการสร้างภาพยนตร์ Star Wars ตอนหลักไว้เพียงแค่ 6 ตอน (ทั้งๆ ที่โดยโครงเรื่องมีเขียนไว้ถึง 9 ตอน) ด้วยเหตุผลที่ว่าลุงจอร์จต้องการให้ภาพยนตร์ Star Wars เป็นเรื่องราวของ Anakin Skywalker

โดย Episode 1-3 เป็นเรื่องของ Anakin จากเด็กเป็นเจได จนโดนด้านมืดครอบงำ กระทั่งกลายเป็น Darth Vader ส่วน Episode 4-6 เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Luke Skywalker (ลูกของ Anakin) มาทำให้ Anakin กลายเป็นคนดี (เจได) อีกครั้ง

จอร์จ ลูคัส วางทิศทางของ Star Wars ให้เน้นการสร้างซีรีส์การ์ตูนทีวีแทน ต่อมาเมื่อได้ขาย Lucasfilm Ltd. ให้ Disney ซึ่งเป็นเจ้าของใหม่ คงเล็งเห็นว่ากำลังนอนทับกองเงินกองทองอยู่ เพราะมีโอกาสกอบโกยรายได้มหาศาลกับ หนังแฟรนไชส์เรื่องนี้ จึงแต่งตั้ง แคทลีน เคนเนดี (Kathleen Kennedy) ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์อันดับต้นๆ ของฮอลลีวูด เป็น President ของ Lucasfilm Ltd. เพื่อเดินหน้าสร้าง Star Wars Episode VII หรือ Star Wars: The Force Awakens

แม้ในช่วงแรกจะมีการเชิญ จอร์จ ลูคัส มาร่วมเขียนเนื้อเรื่องและเป็นที่ปรึกษาด้วย แต่ต่อมาทางลุงจอร์จขอเด้งตัวออกจากโปรเจกต์ (เพราะมีความเห็นที่ไม่ตรงกับผู้บริหาร) ทำให้เรื่องราวที่เราได้ชมไปแล้ว และจะได้ชมกันต่อไปเป็นเนื้อเรื่องใหม่เอี่ยมที่ไม่มีใครรู้ (นอกจากผู้เขียน)

นอกจากภาพยนตร์ตอนหลักที่จะสร้างต่ออีกอย่างน้อย 3 ตอนคือ 7-9 แล้ว ยังมีแผนที่จะทำ spin-off  หรือภาพยนตร์จบในตอนที่เป็นเรื่องราวเสริมของภาพยนตร์ตอนหลักและจักรวาล Star Wars อีก 3 เรื่องภายใต้ชื่อพ่วงท้าย A Star Wars Story หรือภาษาไทย ตำนาน สตาร์ วอร์ส โดยเรื่องแรกก็คือ Rogue One: A Star Wars Story ที่ออกฉายในช่วงนี้

Photo: Walt Disney Studios Motion Pictures

2. Disney กำลังวางแผนอะไร ทำไมถึงปล่อย Star Wars ตั้งแต่ Force Awakens (2015) และ Rogue One(2016) ออกมาปีละเรื่อง

คงต้องยอมรับว่า Disney นั้นเป็นจอมยุทธปรมาจารย์ด้านการบริหารแฟรนไชส์ จะเห็นได้จากกลยุทธ์ในการสร้างและปล่อยหนังของ Marvel (Disney เป็นเจ้าของ Marvel ด้วยเช่นกัน) ตอนที่ทางผู้บริหารตกลงปลงใจที่จะเดินหน้าสร้างภาพยนตร์ Star Wars Episode VII, VIII และ IX ต่อ ได้มีการวางแผนที่จะให้แต่ละตอนห่างกัน 2 ปี (เพราะเป็นระยะเวลาที่ทางสตูดิโอใช้ในการสร้าง) และเพื่อทำให้กระแส Star Wars คงอยู่ในตลาดตลอดเวลา (ซึ่งเป็นการลดงบประมาณด้านการตลาดในระยะยาว) จึงปล่อยหนังสแตนด์อโลนออกมาอีก 3 เรื่อง

พูดง่ายๆ คือจะมีภาพยนตร์ Star Wars ให้เราได้ชมกันทุกๆ สองปีตลอดระยะเวลา 6 ปีต่อจากนี้ ซึ่งกลยุทธ์ที่ว่านี้ทาง Disney เคยใช้กับ Marvel ที่มีการออกหนังซูเปอร์ฮีโร่เป็นตอนๆ (อย่างเช่น Captain America, Iron Man ฯลฯ) และแบบรวมทีมทุกๆ 2 – 3 ปี (The Avengers) เป็นต้น

Photo: Walt Disney Studios Motion Pictures

3. อะไรคือความน่าตื่นตาตื่นใจ ความน่าสนใจของหนัง Star Wars ในยุคของ Disney

สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิดคือ Disney เข้ามาบริหารและ/หรือเป็นเจ้าของ Star Wars

จริงๆ แล้ว Disney เป็นเจ้าของ Lucasfilm Ltd. การตัดสินใจทุกอย่างรวมถึงทรัพย์สินทุกอย่างที่เป็น Star Wars ยังคงเป็นของ Lucasfilm Ltd. ทาง Disney แค่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายในเชิงกลยุทธ์ โดยส่วนตัวคิดว่าการเปลี่ยนแปลงสำคัญใน Lucasfilm Ltd. ที่มีผลต่อทิศทางของ Star Wars คือการเปลี่ยน President หรือกรรมการผู้จัดการใหญ่จาก จอร์จ ลูคัส เป็น แคทลีน เคนเนดี ซึ่งมีแบ็กกราวด์เป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์และนักธุรกิจ วิสัยทัศน์ของเธอนั้นไม่เหมือน จอร์จ ลูคัส ทำให้การเดินไปข้างหน้าของ Lucasfilm Ltd. อาจต่างไปจากเดิมเยอะ

โดยส่วนตัวผมชอบสไตล์ของ แคทลีน เคนเนดี มากกว่า เพราะกล้าได้กล้าเสีย ชอบทดลองอะไรใหม่ๆ ทำให้เราได้เห็น Star Wars ในมุมมองหลากหลายผู้กำกับที่ไม่ใช่แค่ จอร์จ ลูคัส คนเดียว

อันที่จริง Prequel Episode คือ Episode 1-3 ที่กำกับโดย จอร์จ ลูคัส ทั้งสามตอนก็ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเลิศจากเหล่าแฟนๆ และผู้ชมทั่วไปนัก อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนแย้งว่า แต่ Star Wars: The Force Awakens นั้นออกมาคล้ายๆ Star Wars Original Trilogy จนไม่มีอะไรแปลกใหม่และน่าเบื่อจนเกินไป แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่ผู้กำกับ J.J Abrams ต้องการ และกำหนดเองตั้งแต่แรกคือ การคืนความรู้สึกเก่าๆ ให้กับเหล่าแฟนๆ Star Wars

จากเหตุผลทั้งหมดที่ว่ามา จะทำให้ในอนาคตเราจะได้เห็นภาพยนตร์ Star Wars ในแบบฉบับของผู้กำกับมากมาย ไม่จำเจอยู่กับแบบเดียวตลอดไป

Photo: Walt Disney Studios Motion Pictures

4. อนาคตและทิศทางที่น่าจับตาของหนังตระกูล Star Wars

พอมีการปลดล็อกว่า ตั้งแต่นี้จะมีภาพยนตร์ Star Wars ให้เราได้ชมเรื่อยๆ ไม่ต้องคอยว่า จอร์จ ลูคัส จะว่างหรืออยากสร้างเมื่อไหร่

ส่วนตัวเลยคิดว่า ตั้งแต่นี้เราคงจะได้ชมภาพยนตร์ Star Wars มากขึ้น ถี่ขึ้น อาจได้เห็นตัวละครโปรด มีภาพยนตร์ของตัวเอง (ทาง Lucasfilm Ltd. มีการพูดคุยว่าจะสร้างหนัง spin-off ของตัวละครที่แฟนๆ ชอบ แต่อาจได้ดูกันไม่ค่อยจุใจในภาพยนตร์ Star Wars ตอนหลักอย่าง Boba Fett)

และอาจได้เห็นดาราดังๆ ของฮอลลีวูดมารับบทใน Star Wars มากขึ้น (แต่ก่อนจะนิยมการจ้างดาราใหม่ที่ยังไม่ช้ำ) นอกจากนี้อาจจะได้ดูซีรีส์ Star Wars ทางทีวี ได้เห็น Star Wars แฝงเข้าไปในสินค้าเกือบทุกประเภทในชีวิตประจำวัน เหมือนที่เราเห็น Mickey Mouse หรือตัวการ์ตูน Disney อยู่บนเสื้อผ้า แก้วน้ำ ผ้าห่ม แม้กระทั่งยาสีฟัน ฯลฯ

นี่คือวิธีการบริหารแฟรนไชส์แบบ Disney

Photo: Walt Disney Studios Motion Pictures

5. ทำไม Star Wars ถึงเป็นหนังอมตะ ที่ยืนหยัดแข็งแรงมามากกว่า 39 ปี (1977-2016)

ถ้าพูดในแง่ภาพยนตร์ คิดว่าเสน่ห์ของ Star Wars อยู่ที่ตัวละครและเนื้อเรื่อง หลายคนอาจบอกว่าเป็นเรื่องสเปเชียลเอฟเฟกต์ แต่ส่วนตัวคิดว่าสเปเชียลเอฟเฟกต์นั้นแปรผันไปตามกาลเวลา สิ่งที่เคยแจ๋วในปี 1977 สมัยนี้อาจดูบ้านมากๆ แต่ Star Wars ก็ยังสามารถกินใจคนดูได้จนถึงปัจจุบัน

ตัวละครหลักในภาพยนตร์ Star Wars เกือบทุกตัวเป็นที่จดจำ เพราะทุกตัวไอคอนิกมาก ถ้าวันนี้เอาคนจากทั่วโลกมา 100 คน แล้วถามว่าผู้ร้ายในภาพยนตร์ตัวไหนเป็นตัวโปรดของคุณ ผมมั่นใจว่า Darth Vader น่าจะติด 1 ใน 3 ที่ได้คะแนนสูงสุด หรือถ้าดึงรูป Yoda ออกมา แล้วถามคนกลุ่มเดียวกันว่าตัวละครตัวนี้ชื่ออะไร ผมมั่นใจว่าเกิน 80% น่าจะตอบได้

ส่วนเรื่องราวของ Star Wars เองนั้นก็โดดเด่นไม่แพ้ตัวละคร มีการผสมผสานความเป็นตะวันออกเข้ากับตะวันตกได้อย่างลงตัว เป็นเรื่องราวของความดีปะทะความเลว เป็นเรื่องราวที่น่าติดตามและค้นหา

ตอนเด็กๆ จำได้ว่า พ่อชวนให้ดู Star Wars ทั้งๆ ที่พ่อไม่ชอบดูหนัง เพราะมันเป็นหนังที่ทุกคนพูดถึง พอมาถึงตอนนี้ที่ผมมีลูกชาย 2 คน ผมก็เป็นคนเปิด Star Wars ให้ดู

สำหรับผม ตอนนี้ Star Wars ได้กลายเป็นวัฒนธรรมในการชมภาพยนตร์ที่ถูกส่งจากรุ่นสู่รุ่นไปเรียบร้อยแล้ว

Tags: ,