การดีเบตครั้งที่ 2 ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันในเซนต์หลุยส์  กลายเป็นที่จับตาในทางการเมืองมากที่สุด เพราะเป็นการจัดดีเบต หลังจากสัปดาห์ที่ร้อนแรงที่สุดในการเมืองอเมริกาสัปดาห์หนึ่ง มีทั้งการปล่อยข่าวทำลายจากฝั่งตรงข้ามสารพัดชนิด ตั้งแต่ข้อสังเกตเรื่องการไม่จ่ายภาษีของทรัมป์มาตลอดสองทศวรรษ ไปจนถึงกรณี คลิปเสียงของทรัมป์ เรื่องการละเมิดผู้หญิงที่แต่งงานแล้วถูกปล่อยออกมาจนส่งผลให้ผู้นำพรรครีพับลิกันเรียกร้องให้เขาถอนตัวจากสนามการแข่งขัน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทรัมป์จะคว้าโอกาสสุดท้ายทางการเมืองไว้ไม่ได้ เขาตอบไม่ตรงคำถาม พาออกนอกเรื่อง และชกใต้เข็มขัดต่ำเกินไป ขณะที่การถกเถียงในเรื่องอื่น ตั้งแต่ นโยบายด้านการก่อการร้าย การต่างประเทศ เศรษฐกิจ ประกันสุขภาพ และการใช้ปืน ก็เป็นเพียงการตอกย้ำความต่างทางนโยบายเท่านั้น

ต่อไปนี้คือ 7 บทสรุปที่สำคัญจากการ #DEBATE รอบ 2

 

1.รูปแบบ/การเตรียมตัวดีเบต

การดีเบตในรอบที่ 2 จะใช้เวลาเท่ากับการดีเบตครั้งแรกคือ เพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง โดยไม่มีการพักครึ่งโฆษณาใดๆ แต่รูปแบบการดีเบตจะเปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนเป็นลักษณะ ‘Town Hall Meeting’ หรือรูปแบบการประชุมแบบสมาคม ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ชมทั้ง 40 คน ที่สุ่มมาโดย Gallop และเป็นผู้เลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจจะเลือกใคร สามารถตั้งคำถามโดยตรงต่อผู้สมัครได้ทันที

ผู้ดำเนินรายการข่าวในเวทีวันนี้มี 2 คน โดยมีสิทธิตั้งคำถามครึ่งหนึ่งจากเวลาทั้งหมด สำหรับการดำเนินรายการโดย Anderson Cooper แห่ง CNN และ Martha Raddatz แห่ง ABC ต้องบอกว่า เหนือชั้นที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการดีเบต 2 ครั้งแรก เพราะทั้งคู่คือ ผู้ประกาศที่มีชั้นเชิงในการต่อรองกับผู้สมัคร กล้าหยุดการพูดแทรก กล้ากำกับเวลาในการตอบคำถาม กล้าบอกผู้ชมว่าอย่าส่งเสียงดัง กล้าถามคำถามเมื่อเห็นว่าผู้สมัครพูดพล่าม โดยไม่ตอบคำถาม กล้าถามขยี้ในกรณีที่รู้สึกว่าคำตอบยังไปไม่สุด วันนี้ทั้งทรัมป์ และฮิลลารี ต่างโดนขัด โดนคัดง้างจากผู้ดำเนินรายการ ในปริมาณที่มากกว่าเทปอื่นๆ

สำหรับการเตรียมตัว ต้องบอกว่าการดีเบตแบบ Town Hall Meeting ถือว่าช่วยให้ฮิลลารีถือไพ่เหนือกว่ามาก เพราะการหาเสียงทั้งในปี 2008 และในปีนี้ เธอเน้นการหาเสียงแบบ Town Hall Meeting มาโดยตลอด เพราะเชื่อว่าจะทำให้เธอได้ใกล้ชิด ได้แสดงความเป็นมนุษย์ ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้เลือกตั้ง ขณะที่เมื่อเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เธอก็ผ่านการจัด Town Hall Meeting มาแล้วกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ขณะที่ทรัมป์ปฏิเสธการหาเสียงในรูปแบบนี้มาโดยตลอด และหันไปเน้นหาเสียงในเวทีใหญ่ ที่คนมากๆ เป็นหลัก ในแง่นี้จึงทำให้ทรัมป์เป็นรองอย่างมาก

 

2. ISSUES – ประเด็นโจมตีหลักของการดีเบตในรอบที่ 2

จุดอ่อนของทรัมป์

  • #SexTape ที่ถูกปล่อยออกมาล่าสุดเพียงสัปดาห์เดียว ก่อนการดีเบตในรอบที่ 2  โดยเป็นคลิปสนทนาของทรัมป์ในปี 2005 ซึ่งทำลาย Family Values ด้วยการบอกว่าเขา ‘สามารถจะทำอะไรกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วก็ได้ แม้ตัวเองจะแต่งงานแล้ว จะจับอวัยวะเพศหญิงก็ได้ แม้จะไม่ได้รับการยินยอมจากเธอ’ ซึ่งเป็นคลื่นทางการเมืองที่ย่ำแย่ที่สุดที่ทรัมป์เคยเจอมา เพราะถึงปัจจุบันมีผู้นำพรรคทยอยออกมาให้เขาถอนตัวกันเป็นจำนวนมาก ขณะที่ผลโพลล์ของ ABC บอกว่า ‘ร้อยละ 43 ของคนอเมริกันเห็นว่าทรัมป์ควรถอนตัว’

จุดอ่อนของฮิลลารี

  • เพียง 90 นาที ก่อนการดีเบตในรอบนี้จะเริ่มขึ้น ทรัมป์ได้รื้อฟื้นกรณีการข่มขืนผู้หญิงของ บิล คลินตัน ขึ้นมาใหม่ โดยเขาได้จัดงานแถลงข่าวให้กับ ‘ผู้หญิง 4 คน ซึ่งกล่าวโทษว่า บิล คลินตัน ได้ล่วงละเมิดทางเพศพวกเธอ ขณะที่ฮิลลารีก็ไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจต่อพวกเธอ’ เมื่อข่าวนี้ปรากฏต่อสาธารณะชน ทรัมป์กล่าวนำก่อนการแถลงข่าวว่า ‘ผู้หญิงที่กล้าหาญทั้ง 4 คน ขอร้องที่จะนั่งอยู่ที่นี่ และเป็นเกียรติที่ผมจะได้ช่วยเธอ’ ทรัมป์ยังได้เชิญผู้หญิงทั้ง 4 คน เข้าไปร่วมนั่งฟังดีเบตวันนี้ในฐานะแขกพิเศษของเขาด้วย ด้านฮิลลารี โจมตีกลับต่อการแถลงข่าวนั้นด้วยประโยคของ มิเชล โอบามา สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ที่ว่า ‘เมื่อพวกเขาใช้วิธีการต่ำ เราจะใช้วิธีการที่ดี’ ขณะที่สาธารณะเริ่มตั้งคำถามว่า ‘บิลไม่ได้มีชื่อในบัตรเลือกตั้งมิใช่หรือ?’
  • การไปกล่าวสุนทรพจน์ให้กับบรรษัทธนาคารใน Wall Street
  • การใช้อีเมลส่วนตัว ขณะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
  • ความผิดพลาดในนโยบายด้านการระหว่างประเทศ
  • เปิดการค้าเสรี/เปิดพรมแดน
  • ความเป็นส่วนหนึ่งของ Establishment หรือกลุ่มก้อนนักการเมืองแบบเก่า ซึ่งกำลังเป็นที่เกลียดชังอย่างมากของคนอเมริกัน

เมื่อถึงคำถามเรื่องการใช้อีเมลส่วนตัว ฮิลลารีบอกว่า
‘ฉันดูแลเอกสารที่จัดลำดับชั้นความลับสูงเป็นอย่างดี’
ในขณะที่จุดพีกมาถึงเมื่อทรัมป์ประกาศกร้าวว่า
‘ผมจะเอาเธอเข้าคุกในเรื่องอีเมลให้ได้’
ซึ่งประโยคดังกล่าวได้รับความนิยมเป็นอันดับ 3 ในทวิตเตอร์

3. #SexTape: ฮิลลารีโจมตีเรื่องการหยามเกียรติผู้หญิง/การขอโทษที่ไม่จริงใจ ย้ำอีกครั้ง ‘ทรัมป์ไม่เหมาะจะเป็น ปธน.’ vs ทรัมป์โจมตีบิล คลินตัน/ออกนอกเรื่อง

เมื่อคำถามเรื่องคลิปเสียงที่หลุดถูกโยนเข้าสู่วงดีเบต ทรัมป์เริ่มต้นด้วยการกล่าวขอโทษคนอเมริกา พร้อมกับย้ำว่า ‘มันเป็นเรื่องการคุยกันเป็นการส่วนตัว ผมว่าเราไปคุยกันเรื่อง ISIS ที่ฮิลลารีมีส่วนร่วมในการทำให้เกิดจะดีกว่า’

ฮิลลารีโต้กลับทันทีว่า นี่เป็นอีกครั้งที่เธอเห็นว่าทรัมป์ไม่เหมาะจะเป็น ปธน. สหรัฐฯ พร้อมกับย้ำถึง 2 ครั้งว่า การหยามเกียรติผู้หญิงที่ปรากฏผ่านคลิปเสียง ถือเป็นการนิยามได้อย่างดีว่าทรัมป์เป็นคนยังไงกันแน่

เมื่อมีผู้ฟังลุกขึ้นถามว่า ‘คุณยังเป็นคนเดิมเมื่อ 11 ปีที่แล้วไหม (คลิปดังกล่าวพูดในปี 2005)?’ ทรัมป์ตอบด้วยเสียงที่อ่อนลงว่า  ‘ผมยังมีความเคารพต่อประชาชนทุกคน อย่างไรก็ตาม บิลได้พูดสิ่งที่เลวร้ายกว่านี้ ขณะฮิลลารีก็ออกมาโจมตีผู้หญิงที่ออกไปมีความสัมพันธ์กับบิล (กล้องจับที่บิล) และอย่าลืมกันนะว่าบิลเคยถูกไต่สวนว่าไม่เหมาะกับการทำหน้าที่ผู้นำสหรัฐฯ จากเหตุการณ์นี้มาแล้ว’

ฮิลลารีโต้กลับ โดยการยกคำพูดของมิเชลอีกครั้ง ‘เมื่อพวกเขาใช้วิธีการต่ำ เราจะใช้วิธีการที่ดี ผู้ฟังรู้เองได้ว่าใครกันแน่ที่แสดงความเคารพต่อผู้หญิง บิลหรือทรัมป์’ ขณะเดียวกันก็โจมตีว่า คำขอโทษจากทรัมป์ไม่เคยเป็นคำขอโทษที่มาจากใจ เห็นได้จากกรณีการโจมตีมุสลิม โจมตีกลุ่มชาติพันธุ์อย่างต่อเนื่อง และโดยเฉพาะการโจมตีครอบครัวกัปตันคาน (Khan) ชาวมุสลิมที่สละชีพเพื่อชาติ

ทรัมป์ดึงออกนอกเรื่องอีกครั้ง โดยกลับไปจุดประเด็นเรื่องการใช้อีเมลส่วนตัวของฮิลลารี รวมถึงลากกลับไปหา เบอร์นี แซนเดอร์ส ด้วยว่า ‘ฮิลลารีนี่มันปีศาจชัดๆ ผมไม่คิดจริงๆ ว่าเบอร์นีจะให้การสนับสนุนปีศาจทางการเมืองตนนี้’ ฮิลลารีตบท้ายด้วยการพูดว่า ‘ที่พูดมาทั้งหมดมันไม่จริง ไปเช็กกันได้ที่เว็บไซต์ของฉัน และเรียกร้องให้สื่อมวลชนและผู้ฟังร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริงสิ่งที่ทรัมป์พูดทั้งหมด’

 

 

4. #Email ฮิลลารีบอก ‘เอกสารลับขั้นสูงสุดไม่รั่วแน่ๆ’ vs ทรัมป์บอกถ้าได้เป็น ปธน. ‘ผมจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเธอในกรณีอีเมล’

เมื่อถึงคำถามเรื่องการใช้อีเมลส่วนตัว ในขณะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศถูกโยนเข้าวงดีเบต ฮิลลารีลุกขึ้นยืนยันแบบที่ฟังมาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนในเวทีอื่นๆ ว่า ‘ไม่มีข้อมูลที่ได้รับการจัดลำดับชั้นว่าเป็นความลับขั้นสูงหลุดไปอยู่ในมือใครทั้งสิ้น ฉันดูแลเอกสารที่จัดลำดับชั้นความลับสูงเป็นอย่างดี’

จุดพีกมาถึงเมื่อทรัมป์ประกาศกร้าวว่า ‘คนแบบฮิลลารีคงไม่รู้จักว่าเอกสารอันไหนที่เป็นความลับของประเทศ เธอน่าจะละอายบ้างที่ลบอีเมลทิ้งไปกว่า 30,000 ฉบับ เพื่อหลบเลี่ยงความผิด ผมขอประกาศตรงนี้เลยนะว่า ถ้าผมชนะ ผมจะตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมาสอบสวนคดีทั้งหมดเกี่ยวกับฮิลลารี เพราะมันมีคำโกหกเยอะไปหมด มีคำหลอกลวงเยอะไปหมด’ และ ‘ผมจะเอาเธอเข้าคุกในเรื่องอีเมลให้ได้’ ซึ่งประโยคดังกล่าวได้รับความนิยมเป็นอันดับ 3 ในทวิตเตอร์

 

5. สรุปประเด็นย่อยภาพรวม แบบ Point by Point

  • ทรัมป์ชี้ว่า กฎหมายประกันสุขภาพของโอบามาทำให้ภาครัฐก่อหนี้สิน คนได้ประโยชน์คือบริษัทประกันสุขภาพที่มักผูกขาด เขาตั้งใจจะยกเลิกระบบนี้ให้ได้ แต่เมื่อถามว่าจะแก้ไขปัญหาการผูกขาดอย่างไร เขาตอบคำถามนี้ไม่ได้ ด้านฮิลารีเน้นสานต่อโอบามา ยอมรับว่า ประกันสุขภาพอาจไม่สมบูรณ์แต่มีประโยชน์ เพราะเป็นสวัสดิการที่ทำให้ประชาชนกว่า 20 ล้านคนได้รับประโยชน์จากฎหมายนี้
  • ฮิลลารียกย่องคนมุสลิมในสหรัฐฯ ชี้ว่า เราต้องทำงานร่วมกัน ให้ช่วยกันดูแลสหรัฐฯ เพราะรัฐเสรีอย่างสหรัฐฯ จะไปกำจัดคนที่เห็นต่างในอุดมการณ์ทางศาสนาไม่ได้ และจะพยายามกำจัดกลุ่ม ISIS ให้เร็วที่สุด ด้านทรัมป์เดินหน้าห้ามคนมุสลิมเข้าประเทศ เพราะในสมัยรัฐบาลโอบามานั้นรับเข้ามามากเกินไป
  • ทรัมป์โจมตีว่า ถ้าจะเข้าเรื่องไม่จ่ายภาษี ทำไมไม่ลองตั้งคำถามดูว่าช่วงที่ฮิลลารีเป็น ส.ว. ก็ไม่ได้ช่วยปฏิรูปกฎหมายภาษี และมูลนิธิของตัวเองก็ได้ประโยชน์จากระบบภาษีแบบนี้ ฮิลลารีจึงโต้กลับด้วยประโยคสั้นๆ ‘คุณจะเอาคนไม่จ่ายภาษีกว่าสองทศวรรษมาดูแลกฎหมายภาษีหรือ?’
  • ทรัมป์บอกว่านโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ ผิดทั้งหมด ‘เป็นนโยบายที่โง่เขลา’ ฮิลลารีบอกว่า คนอย่างทรัมป์ไม่รู้จัก ISIS ไม่รู้จักนโยบายการต่างประเทศ
  • ทรัมป์บอกว่า ‘ผมจะนำงานกลับมาให้คนอเมริกัน เพราะกฎหมายทำให้คนเมริกันมีงานทำน้อยลง (กฎหมายดังกล่าวเกิดในยุคบิล) ฮิลลารีเป็นคนโกหก เธอไม่เคยทำอะไรประสบความสำเร็จ …ถ้าเธอขึ้นมาเป็น ปธน. ก็คงดีแต่พูด และไม่ได้สร้างความแตกต่าง’ ฮิลลารียิ้มรับ ก่อนตอบว่า คนเลือกให้มารับตำแหน่ง ส.ว. ในสมัยที่ 2 ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย ตลอดชีวิตการทำงานสามารถช่วยเหลือเด็กและผู้หญิง เวลาคุณบอกว่า 30 ปีที่ผ่านมาไม่เคยทำอะไรสำเร็จ ขอให้รู้ว่าฉันทำงานหนักตลอด เพื่อช่วยเด็ก คนพิการ ช่วยคนละติน ทำให้พวกเขามีสิทธิโหวต ทำให้คนอเมริกันรู้สึกว่ามีพื้นที่ที่ได้รับการยอมรับ และเธอจะขอเป็นประธานาธิบดีของคนทุกคน แม้กระทั่งคนที่ไม่ได้โหวตให้เธอ

 

6. เทคนิคสำคัญในการดีเบตวันนี้

  • ฮิลลารีมาในชุดการแต่งกายแบบฟ้าคราม ให้ความรู้สึกพร้อมสนทนากับผู้ฟัง ลดโทนความดุเดือดเลือดพล่านลงไป ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะการดีเบตแบบ Town Hall ที่จะเน้นสนทนา สร้างความเป็นมนุษย์ และเห็นอกเห็นใจระหว่างผู้สมัครกับผู้ฟัง
  • ผู้สมัครทั้งสองคนไม่หลบสายตากันและกัน
  • ฮิลลารีถามกลับไปยังผู้ที่ตั้งคำถามเป็นระยะ เช่น ‘คุณเป็นครูใช่ไหม?’ ซึ่งเป็นเทคนิคที่เธอใช้มาตลอดในเวที Town Hall บางเวทีเธอก็ลงไปกอดกับคนที่ตั้งคำถาม ขณะที่ทรัมป์เน้นยืนนิ่ง ไม่นิยมเดิน
  • ฮิลลารีมักจะหัวเราะเยาะเย้ยเวลาทรัมป์ตอบคำถาม เพื่อให้เห็นว่าคำตอบของทรัมป์ตลกสิ้นดี หรือบางทีเธอก็ยืนขึ้นมาเลยในลักษณะพร้อมตอบคำถาม โดยที่ทรัมป์ยังตอบคำถามไม่จบ แสดงให้เห็นถึงคำตอบของทรัมป์ที่ไม่มีราคามากนัก
  • ฮิลลารีเดินไปหาผู้ตั้งคำถามเป็นระยะและสื่อสารในระยะประชิด ขณะที่ทรัมป์เน้นยืนนิ่ง และเดินไปไม่ใกล้ชิดผู้ฟังมากนัก ซึ่งถ้าเอามาตรฐานแบบ Town Hall มาจับ ก็ต้องบอกว่าฮิลลารีฝึกฝนมาได้แข็งแรงกว่า
  • จะฆ่ากันรุนแรงขนาดไหน แต่ตอนจบต้องสวยงาม คำถามสุดท้ายของวันนี้ ผู้ดำเนินรายการถามว่า ‘มีอะไรบ้างไหมที่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเคารพต่อกัน’
  • ฮิลลารีตอบว่า ‘ฉันเคารพลูกๆ ของทรัมป์มาก เพราะพวกเขามีความสามารถและทำงานอย่างอุทิศตน’
  • ทรัมป์ตอบว่า ‘ผมสามารถพูดได้ว่าฮิลลารีไม่เคยเดินออกไปจากสนามในทางการเมือง เธอไม่เคยยอมแพ้ และฮิลลารีเป็นนักสู้ (fighter)’

 

7. หลังดีเบตจบ มี 4 เรื่องหลังจากนี้ที่ต้อง ‘ติดตามต่อ’

  • บรรดาผู้เลือกตั้งทั้ง 40 คน ที่ได้ร่วม Town Hall จะตัดสินใจให้ใครชนะ?
  • โพลล์ความนิยมทางการเมืองที่จะออกมาใหม่ ซึ่งจะบอกว่า คนอเมริกันชอบเพอร์ฟอร์แมนซ์ของใครมากที่สุดในการดีเบตรอบที่ 2?
  • การตัดสินใจของสื่อและนักวิเคราะห์ว่า จะให้ใครเป็นผู้ชนะของดีเบตรอบนี้ พร้อมบอกเหตุผลโดยละเอียดว่าชนะเพราะอะไร?
  • Fact Checking หรือการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสิ่งที่ผู้สมัครได้พูดออกไปในเวทีดีเบต โดยจะมีทั้งสื่อมวลชนและองค์กรภาคประชาสังคมคอยตรวจสอบทุกประโยคอย่างละเอียดต่อไป?

FACT BOX:

  • Town Hall Meeting ถือเป็นรากฐานของประชาธิปไตยในสหรัฐฯ นับตั้งแต่การก่อตั้งประเทศ เพื่อหาข้อยุติในทางการเมือง ต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง ระหว่างผู้มีอำนาจกับประชาชนในเวทีแห่งนี้ ผู้สมัครไม่เพียงต้องดีเบตกับผู้สมัครด้วยกันเท่านั้น แต่ต้องพยายามโน้มน้าวผู้เลือกตั้งที่อยู่ตรงหน้า และพร้อมเผชิญกับคำถามจากผู้เลือกตั้งชนิดแบบสดๆ
Tags: , , , , , ,