วันนี้คือวันที่ 1 ธันวาคมซึ่งในทุกๆ ปีถูกกำหนดให้เป็นวันเอดส์โลก เพื่อสร้างความตระหนักต่อการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกไปแล้วกว่า 35 ล้านคน และยังไม่มียารักษา

ปัจจุบันคนที่ติดเชื้อเอชไอวีนั้นอยู่ด้วยการใช้ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy หรือ ART) ที่ทำให้ผู้ป่วยนั้นสามารถมีชีวิตได้ยืนยาวขึ้น และอยู่อย่างสุขภาพดีมากขึ้น นอกจากนี้ยังลดความเสี่ยงที่จะถ่ายทอดเชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่น

องค์การสหประชาชาติประกาศว่า จะต้องหยุดยั้งโรคเอดส์ให้ได้ในปี 2030 หรืออีก 14 ปีข้างหน้า ดังนั้นสิ่งที่ท้าทายองค์การสหประชาชาติและวงการแพทย์ในอีก 14 ปีที่เหลือคือ การให้คนหันมาป้องกันตัวเองมากขึ้นเมื่อมีเพศสัมพันธ์ อย่างการใช้ถุงยางอนามัย ที่หลายประเทศโดยเฉพาะแอฟริกานั้น คนยังขาดแคลนถุงยางอนามัย และการคิดค้นยารักษาโรคเอดส์ที่จะช่วยลดการติดต่อลงได้

ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาและแพทย์

ปัจจุบันผู้ติดเชื้อเอชไอวีและเป็นโรคเอดส์นั้นส่วนใหญ่อยู่ในทวีปแอฟริกา (มากกว่า 7,000,000 คน ในทุกวัน จะมีคนติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้นประมาณ 1,000 คน) ซึ่งเป็นประเทศยากจน แต่คนที่เข้าถึงยารักษาโรคส่วนใหญ่คือคนในประเทศตะวันตก

มีเพียง 46% ของผู้ติดเชื้อเอดส์ที่เข้าถึงยาต้านไวรัส นั่นหมายความว่า ผู้ป่วยโรคเอดส์อีกครึ่งยังไม่มียาที่จะช่วยทำให้พวกเขาอยู่ได้นานขึ้น และอยู่อย่างทรมานน้อยลงในชีวิตที่เหลืออยู่ ซึ่งกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงยามากที่สุดคือ เด็กผู้หญิงอายุระหว่าง 15-24 ปี

ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาต้านไวรัสเอชไอวีจึงเป็นอีกสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ติดเชื้อเอดส์เสียชีวิตมากขึ้นทุกปี โดยตั้งแต่โลกค้นพบโรคเอดส์ในปี 1981 จนถึงปี 2015 นั้น มีคนเสียชีวิตจากโรคนี้แล้วราว 35 ล้านคน และยังมีคนอีกกว่า 19 ล้านคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อไวรัสเอดส์

ความคืบหน้าของวงการแพทย์ในการพัฒนายาต้านโรคเอดส์

เป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว ที่วงการแพทย์ทั่วโลกยังคงพยายามคิดค้นวัคซีนและยารักษาโรคเอดส์อย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดแอฟริกาใต้ได้ทำการทดลองวัคซีนต้านไวรัสเอดส์ ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสามารถต้านไวรัสเอดส์ได้

นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษา ที่มีชื่อว่า HVTN 702 ได้ทำการวิจัยชายและหญิงที่ติดเชื้อเอดส์ อายุระหว่าง 18-35 ปี มากกว่า 5,400 คน มากว่า 4 ปี ซึ่งเป็นการทดลองวัคซีนต้านไวรัสเอดส์ที่ใหญ่ที่สุด

วัคซีนต้านไวรัสเอดส์ตัวนี้ได้นำไปทดลองใช้กับผู้ป่วยชาวไทยจำนวน 16,000 คน ในปี 2009 และพบว่าสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้มากกว่า 30% ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ยังได้ทดสอบความปลอดภัยของวัคซีนมากว่า 18 เดือน กับอาสาสมัคร 252 คน

วัคซีนจะทำงานให้ร่างกายเตรียมพร้อมเพื่อให้มีภูมิคุ้มกัน เมื่อร่ายกายได้รับเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย แต่ไวรัสเอดส์นั้นวัคซีนจะจับได้ยากกว่า ซึ่งอาจต้องใช้เวลา 5-10 ปีในการพัฒนาวัคซีนชนิดนี้ และจำเป็นต้องการได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวัคซีนจะมีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญก็เตือนว่า เรายังคงต้องระวังในการต่อสู้กับไวรัสเอดส์

“เรายังคงต้องพยายามเสาะหาวิธีป้องกันเชื้อโรคเอดส์วิธีอื่นๆ เพื่อลดการติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะกับผู้หญิง”

ยารักษาโรคเอดส์ที่ทดลองประสบความสำเร็จในลิง

ฝั่งนักวิจัยในเบเทสดา (Bethesda) ในรัฐแมรีแลนด์ เข้าใกล้ความจริงในการผลิตยารักษาโรคเอดส์อีกขั้น ซึ่งยาตัวนี้มีฤทธิ์ไปช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับเชื้อไวรัสเอดส์ โดยมีเป้าหมายให้ผู้ป่วยมียารักษาโรคเอดส์ที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาต้านไวรัสเอดส์ ART ที่ส่งผลข้างเคียงทางระบบประสาท และทำให้ผู้รับประทานมีอาการคลื่นไส้ นอกจากนี้ยังมีราคาแพง ซึ่งขณะนี้กำลังเริ่มทดลองยาตัวนี้ในมนุษย์ หลังจากทดลองแล้วกับลิง และยังมีเป้าหมายต้องการให้ผู้ป่วยมียารักษาโดยที่ไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัสART

จากการทดลองในลิง 18 ตัวพบว่า ไวรัสเอดส์ในลิง 16 ตัว ลดลงจนถึงระดับที่ไม่สามารถตรวจพบได้ และสามารถคงระดับนี้ได้นานถึง 4 เดือน ซึ่งถ้าหากยาตัวนี้ทดลองในมนุษย์จนประสบความสำเร็จ ก็เป็นไปได้ว่าโลกจะได้ยารักษาโรคเอดส์ตัวใหม่

อย่างไรก็ตาม ทั้งวัคซีนต้านไวรัสเอดส์ และยารักษาโรคเอดส์เหล่านี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา ดังนั้นวิธีที่ง่ายและถูกที่สุดคือ การใส่ถุงยางอนามัย

 

อ้างอิง:
     – UNAIDS
– http://www.reuters.com/article/us-aids-day-cure-analysis-idUSKBN13Q3BM
– http://www.euronews.com/2016/11/30/no-more-aids-by-2030
– http://www.aljazeera.com/news/2016/11/aids-vaccine-final-nail-coffin-disease-161130142549896.html