นับเป็นวันที่ 4 แล้วสำหรับปฏิบัติการบุกค้นวัดพระธรรมกายเพื่อตามหาตัวพระธัมมชโยมาดำเนินคดีตามหมายจับข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร

แต่จนถึงนาทีนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าพระธัมมชโยอยู่ที่ไหนกันแน่

หลังเวลา 15.00 น. ของวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ดีเอสไอขีดเส้นตายให้พระสงฆ์จากวัดอื่นๆ และประชาชนที่ไม่ได้มีที่อยู่ในวัดออกจากพื้นที่วัดพระธรรมกาย เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการตรวจค้นต่อได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น ส่วนพระภิกษุ สามเณร และประชาชนที่มีที่อยู่ในบริเวณวัดต้องมารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่บริเวณประตู 6 โดยเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจะเข้าตรวจสอบหนังสือสำคัญของพระภิกษุ หรือ ‘ใบสุทธิ’ และพนักงานเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบบัตรประชาชนและดำเนินการลงทะเบียน

แต่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปดูเหมือนมาตรการดังกล่าวจะไม่เป็นผล อีกทั้งยังมีการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่กับพระสงฆ์ และศิษยานุศิษย์ภายในวัดเป็นระยะๆ เพิ่มความตึงเครียดให้กับสถานการณ์ของทั้ง 2 ฝ่าย

นอกจากนี้ดีเอสไอยังเผยแพร่ประกาศพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่ง คสช. ที่ 5/2560 ที่ 4/2560 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2560 เรื่องให้มารายงานตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยระบุรายชื่อพระสงฆ์ 14 รูป ให้มารายงานตัวภายในเวลา 18.00 น. โดยมีรายชื่อพระธัมมชโยรวมอยู่ด้วย

ด้านศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการสั่งการให้จัดกำลังสนับสนุนปฏิบัติการเพิ่มเติม ทั้งกองร้อยควบคุมฝูงชน ตำรวจภูธร ภาค 2 และภาค 7 กองร้อยควบคุมฝูงชนหญิง ตำรวจนครบาล และกองร้อยควบคุมฝูงชน ตำรวจตระเวนชายแดน รวม 8 กองร้อย เพื่อตรึงกำลังภายในพื้นที่เพิ่มเติมจนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์

วัดธรรมกายตั้งคำถาม ‘ค้น 3 วันไม่เจอแล้วเราผิดอะไร?’

ล่าสุดเช้าวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ดูเหมือนสถานการณ์จะยังไม่สามารถคลี่คลายโดยง่าย เพราะในช่วงเช้ายังเกิดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับพระสงฆ์และศิษยานุศิษย์ที่พยายามจะออกจากพื้นที่วัด กลายเป็นการเผชิญหน้ากันครั้งล่าสุดที่ประตู 5 และประตู 6 ของวัดพระธรรมกาย จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งทางฝั่งเจ้าหน้าที่และทางฝั่งวัด

ด้าน พระภาสุระ ทนฺตมโน หัวหน้ากององค์กรระหว่างประเทศ สำนักต่างประเทศ วัดพระธรรมกาย ระบุกับ The Momentum ว่าสถานการณ์ตอนนี้ทางวัดยังคงรอความเคลื่อนไหวจากทางการว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ขณะนี้ยังมีการล็อกดาวน์พื้นที่โดยห้ามคนเข้าออก และมีการล้อมวัดด้วยกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 5,000 นาย ขณะที่ประชาชนและพระสงฆ์ภายในวัดมีจำนวนนับหมื่นคน

“ยิ่งมีข่าวออกมาว่าให้พระออกนอกพื้นที่ ญาติโยมที่ตกใจก็เริ่มทยอยกันเข้าวัดมากขึ้นตลอดทั้งวันตั้งแต่เมื่อคืนวาน ส่วนญาติพี่น้องของคนที่อยู่ในวัดก็เกิดความเป็นห่วง ทำให้ยิ่งเข้ามาจนมีจำนวนมากขึ้น

“ตั้งแต่มีมาตรา 44 สั่งการมา เราเป็นฝ่ายถูกกระทำมาโดยตลอด อยู่ที่ว่าเขาจะทำอะไรกับเรา ตอนนี้ทุกคนกลัวนะ เราไม่ได้มีกองกำลัง เราใช้กำลังไม่เป็น โยมส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิง ทุกคนมีความกลัวอยู่แล้ว แต่วัดนี้เกิดจากการที่ทุกคนช่วยกันบริจาคและสร้างขึ้นมา และเขาก็เป็นเจ้าของที่นี่ ที่นี่คือบ้านของเขา ที่ผ่านมาเราก็อนุญาตให้ตำรวจตรวจค้นพื้นที่ได้เต็มที่ 3 วันผ่านไปคุณหาไม่เจอ แต่ทำไมคุณถึงไม่กลับ คือถ้าเราไม่ได้ให้ความร่วมมือตลอด 3 วัน ก็พอเข้าใจได้ว่าเราขัดขืน คงต้องใช้กำลัง แต่นี่คือเรายอมสุดๆ แล้ว 3 วันอยากค้นอะไรก็ให้ค้น พาเข้าไปทุกที่ แล้วทำไมถึงต้องสั่งให้พระออกนอกพื้นที่ โดยไม่มีมาตรการรองรับอะไร ที่เห็นคือมีรถผู้ต้องขังมาจอดรอ แล้วพระออกไปต้องขึ้นรถหรือเปล่า ถ้าขึ้นรถแล้วจะจับสึกใช่ไหม คือไม่มีการสื่อสารอะไรเลย ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน

“เราไม่ได้ร้องขอเกี่ยวกับเรื่องคดีหลวงพ่อนะ เพราะเรื่องคดีก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่เราขอให้เลิกเถอะ อะไรที่มันละเมิดสิทธิ กดขี่ประชาชน คุณจะเข้ามาตอนไหนก็ได้ จะยึดอะไรก็ได้ จะบุกจับใครก็ได้ แบบนั้นมันน่ากลัวเกินไป คนในวัดก็ไม่มีใครมีอาวุธ แค่บุกเข้ามาก็กลัวกันหมดแล้ว”

นอกจากนี้พระภาสุระยังเปิดเผยด้วยว่าบรรยากาศภายในวัดยังคงเป็นไปด้วยความสงบ แม้หลายคนจะตื่นกลัวกับปฏิบัติการล่าสุดของเจ้าหน้าที่ที่พยายามเข้ามาบุกค้นในตอนกลางคืน แต่กิจกรรมหลักๆ ภายในวัดยังเป็นการสวดมนต์ และนั่งสมาธิตามจุดต่างๆ ของวัด ขณะที่เสบียงอาหารภายในวัดกำลังเหลือน้อยลงทุกที เพราะเดิมทีทางวัดเตรียมเสบียงไว้ประมาณ 3-4 วัน เพราะไม่คิดว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อจนถึงนาทีนี้

“ทางวัดมีคำถามอย่างเดียวคือ คุณค้น 3 วันแล้ว แต่คุณไม่เจออะไร ถามว่านี่เป็นความผิดของเราเหรอ แล้วทำไมคุณถึงไม่กลับไป”

ดีเอสไอยืนยัน ต้องการตรวจค้นให้เสร็จ เพื่อคืนพื้นที่ให้ไวที่สุด

ทางด้าน พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ และรองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ The Momentum ว่าเหตุการณ์ปะทะกันในช่วงเช้าเกิดจากความพยายามของทางวัดที่พยายามจะออกจากวัดเพื่อจะพาประชาชนภายนอกเข้าไปสมทบภายในวัดเพิ่มเติม พร้อมปฏิเสธกระแสข่าวที่มีการเตรียมรถขนส่งผู้ต้องขังไว้นอกวัดว่า

“นั่นเป็นข่าวลือในโซเชียลมีเดียที่เขาต้องการจะดึงคนไว้ในวัด เพราะเจ้าหน้าที่ประกาศชัดเจนแล้วตั้งแต่วันแรก หรือแม้แต่เมื่อวานก็ยังมีการประกาศอย่างต่อเนื่องว่าสำหรับบุคคลที่อยู่ในวัด เจ้าหน้าที่พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับบ้านตลอด ประตูเปิดอยู่ตลอดสำหรับการออกจากวัด ไม่ได้ปิดกั้น เพียงแต่ว่าเราขอความร่วมมือในการงดที่จะเข้าไปทำกิจกรรมภายในวัดช่วงนี้เท่านั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติการในพื้นที่ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เนื่องจากเรามีปฏิบัติการที่ยังไม่เสร็จสิ้น การที่มีบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปจะทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เกิดความล่าช้า

“ระหว่างการตรวจสอบทั้ง 3 วันที่ผ่านมา ยังมีบุคคลภายนอกเข้ามาทำกิจกรรมในวัดอยู่อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด คือพระท่านก็อำนวยความสะดวกตามสมควร แต่ในปฏิบัติการจริงก็ยังมีคนเข้าออกอยู่ ทำให้เราไม่สามารถที่จะเข้าไปตรวจสอบในจุดที่เราสงสัยได้บางจุด ก็เลยเห็นว่าถ้าจะปฏิบัติงานได้เร็ว สะดวก และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ก็ควรที่จะต้องมีการร้องขอความร่วมมือให้งดทำกิจกรรมในช่วงสั้นๆ ก่อน เพื่อที่จะให้เฉพาะคนที่เกี่ยวข้องในวัดจริงๆ นำการตรวจค้นให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และเจ้าหน้าที่จะได้รีบคืนพื้นที่โดยเร็วเช่นกัน”

รองโฆษกดีเอสไอยังชี้แจงว่า กรณีที่มีการขึ้นทะเบียนบุคคลที่จะอยู่ภายในวัดเป็นมาตรการเพื่อป้องกันความสับสน และป้องกันบุคคลที่ 3 ยืนยันว่าไม่ได้นำข้อมูลดังกล่าวไปดำเนินคดีกับใครทั้งสิ้น ส่วนคนป่วยที่อยู่ในพื้นที่เจ้าหน้าที่พร้อมอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ขอเพียงแจ้งเจ้าหน้าที่หน้าประตูว่ามีความประสงค์จะออกนอกพื้นที่เท่านั้นเอง

นอกจากนี้ ในช่วงเที่ยงที่ผ่านมายังมีการเจรจาระหว่าง พระมหานพพร ปุญฺญชโย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย กับ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้กลุ่มพระสงฆ์และญาติโยมที่นั่งสวดมนต์อยู่บริเวณฝั่งทางเข้าประตู 5 และประตู 6 ของวัด และเจ้าหน้าที่ที่ตรึงกำลังอยู่บริเวณนั้นถอยออกห่างจากกันฝั่งละ 10 เมตร เพื่อลดความตึงเครียดในการเผชิญหน้า พร้อมยังได้ข้อยุติในการเจรจาโดยทางวัดจะยอมเลิกใช้เครื่องขยายเสียงเพื่อประชาสัมพันธ์ปลุกระดม แต่จะเปิดบทสวดมนต์แทน

ด้านกระแสข่าวที่จะมีการตัดน้ำ ตัดไฟ ภายในวัด รองอธิบดีดีเอสไอยืนยันว่ายังไม่มีการดำเนินการ ส่วนทางวัดได้ร้องขอให้เจ้าหน้าที่ทบทวนมาตรการดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อประชาชนภายในวัด และบริเวณรอบวัดเป็นจำนวนมาก

พยาบาล สื่อ และญาติโยมเฝ้ารอบริเวณรอบวัด

จากการลงพื้นที่บริเวณวัดพระธรรมกาย ทีมงาน The Momentum พบว่าบริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรคลองหลวงยังมีเจ้าหน้าที่พยาบาลตั้งศูนย์ฉุกเฉินเพื่อรองรับผู้บาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุปะทะด้วย

โดย พีระ รุ่งเรือง หัวหน้า สภ.อ.คลองหลวง มูลนิธิร่วมกตัญญู เปิดเผยว่า ขณะนี้มีรถพยาบาลจากโรงพยาบาลปทุมธานี โรงพยาบาลสามโคก โรงพยาบาลคลองหลวง และมูลนิธิร่วมกตัญญูเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินอยู่ราวๆ 20 คัน มีเจ้าหน้าที่พยาบาลประมาณ 60 คน คอยสับเปลี่ยนเวรอยู่ตลอดเวลา ตามการร้องขอจากทางสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี โดยใช้พื้นที่ด้านหน้าสถานีตำรวจเป็นพื้นที่คัดกรองผู้ได้รับบาดเจ็บ และยืนยันว่าเจ้าหน้าที่พร้อมให้การช่วยเหลือกับทุกฝ่ายโดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นฝ่ายไหน

โดยช่วงเช้าที่ผ่านมามีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการปะทะ 2 รายจากทางฝ่ายวัดพระธรรมกาย ซึ่งขณะนี้นำส่งโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว

นอกจากกำลังเจ้าหน้าที่จากภาคส่วนต่างๆ แล้ว บริเวณรอบๆ วัดยังมีประชาชนบางส่วนมาเฝ้ารอฟังข่าวความเคลื่อนไหว และรอรับญาติที่ติดอยู่ในพื้นที่วัด

ขณะที่หลายคนนั่งสวดมนต์รอ ท่ามกลางผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักที่มาเฝ้ารอทำข่าวเป็นจำนวนมาก

อ้างอิง: 

Tags: ,