ถึงคุณคนนั้น,

ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ยอมรับว่าเราหลงใหลใครบางคนโดยเริ่มต้นจากหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอก แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หลายหนผมพบว่าคนหน้าตาดีหมดเสน่ห์ลงภายในเวลาไม่กี่นาทีที่ได้พูดคุยกัน ในทางตรงกันข้าม, คนหน้าตาธรรมดากลับทรงเสน่ห์ขึ้นมากมายจากบทสนทนาเพียงแค่ไม่กี่ประโยค ส่วนคนหน้าตาดีที่มีเสน่ห์นั้นก็คงมีแรงดึงดูดมหาศาลเกินต้านทานไหว กระนั้นผมก็เติบโตจนเข้าใจแล้วว่า ผู้ทรงเสน่ห์มหาศาลเพียงใด ถึงจุดหนึ่งก็มีเรื่องชวนหงุดหงิดใจไม่ต่างจากคนอื่น บางจุดบอดต้องการเวลากว่ามันจะเผยตัว

การได้อยู่ใกล้คนที่มีความรู้สึกละเอียดอ่อนนี่มันดีนะ มันทำให้เราดิบหยาบน้อยลง

วันเวลาล่วงเลยจนผมมีความเชื่อว่า สิ่งที่ทำให้คนเราอยากคบหากัน ไม่ว่าในฐานะคนรักหรือมิตรสหาย ถึงที่สุดแล้วคือความจริงใจ และเป็นธรรมชาติ คนบางคนเรารู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ด้วย เหมือนอยู่ใกล้ต้นไม้ ไม่ต้องลีลากันให้มากความ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจอะไรกันนัก นั่นคือพื้นฐานของคนที่เราสนิทใจ คุณจะปากจัด หยาบคาย ทะลึ่งตึงตัง ยังไงก็ได้ ขอให้คุณเป็นสิ่งนั้นจริงๆ ตอนที่อยู่ต่อหน้ากัน

บางคนสนิทด้วยง่าย บางคนสนิทด้วยยาก แต่พอสนิทแล้วเราจะเหมือนเป็นคนพิเศษบนโลกใบนี้ของเขา ได้เข้าถึงพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีใครอนุญาตให้ย่างกรายเข้าไป ขณะที่บางคนเหมือนสนิทสนมง่ายดาย แต่เมื่อคบหาไปจึงเข้าใจว่า เราไม่ได้รู้จักเขาจริง

​แต่นอกไปจากความจริงใจ และความเป็นธรรมชาติ ผมคิดว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของความสัมพันธ์ของผู้คน สิ่งนั้นคือ ความไม่น่าเบื่อ

เราทนคบหากับคนที่เรารู้สึกเบื่อไม่ได้หรอก ชีวิตเต็มไปด้วยสิ่งน่าเบื่อภาคบังคับเต็มไปหมดอยู่แล้ว การเรียน การงาน ลูกค้า เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ข้อจำกัด เงื่อนไข และอะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะ ยังไม่ต้องนับสถานการณ์โลกและสังคมแวดล้อม เช่นนี้แล้วในเวลาส่วนตัว หากต้องปฏิสัมพันธ์กับคนน่าเบื่ออีก ชีวิตคงขาดชีวิตชีวา

​คนน่าเบื่อที่ว่านี้ไม่ได้น่าเบื่อสำหรับทุกคน คนบางคนจะเป็น ‘คนน่าเบื่อ’ สำหรับคนบางคนเท่านั้น ด้วยรสนิยม ความสนใจ และคุณค่าของชีวิตที่แตกต่างกัน

แต่ส่วนหนึ่งที่เราเบื่อหน่ายกับชีวิต เพราะชีวิตปกติทั่วไปมักดำเนินไปแบบรูทีน มีระเบียบตารางที่แน่นอน บางครั้งเรารู้สึกว่าวันนี้ไม่ต่างอะไรกับเมื่อวาน และพรุ่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับวันนี้ การดำเนินชีวิตตามวงจรเดิมๆ เนิ่นนานอาจทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในส่วนลึกของจิตใจ เราต้องการอะไรบางอย่าง หรือใครบางคนที่จะจูงมือเราให้ก้าวกระโดดออกไปให้หลุดพ้นจากวงจรเดิมๆ หรือกระทั่งกฎระเบียบแน่นอนตายตัวอันน่าอึดอัด

สำหรับผม คนนั้นอาจเป็นคุณ

ศิลปะคือความจริงของชีวิตที่ต้องการความละเอียดอ่อนและความจริงใจเพื่อเผยมันออกมา
และเราอาจต้องการบางคนที่แสดงสิ่งนั้นให้เห็น และยินดีรับรู้ ‘ศิลปะ’ ที่เราต้องการสื่อกลับไป

คุณเป็นคนที่มาพร้อมโลกหนึ่งใบที่เต็มไปด้วยสีสัน เหมือนงานศิลปะหลากสี ที่ผมสามารถเดินจากภาพหนึ่งไปสู่อีกภาพหนึ่งได้ไม่รู้จบ แต่ละภาพเปลี่ยนเฉดสีไปเรื่อยแบบคาดเดาไม่ได้ โลกของคุณช่างแตกต่างไปจากโลกสีเทาซ้ำซากที่ผมเผชิญอยู่ทุกวี่วัน

บนสนทนาของคุณเปิดประตูอีกบานให้ผมได้หลบเข้าไปอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ เป็นโลกใบเล็กๆ ที่ผมไม่เคยรู้ว่ามันมีอยู่ เพลงที่คุณฟัง หนังที่คุณดู เสื้อผ้าที่คุณสวมใส่ นิทรรศการศิลปะที่คุณชอบไปเดินเล่น เหล่านี้เหมือนดอกไม้ที่แทรกตัวอยู่ในแผ่นคอนกรีตปูถนนที่ผมเคยเดินผ่านแต่ไม่ได้สังเกต

​ผมชอบเรียกคุณเล่นๆ ว่า ‘คุณศิลปิน’ ผมคิดว่าคนเหล่านี้ทำหน้าที่ลูบคลำหัวใจคน อวัยวะที่ผู้คนหลงลืม และมัวแต่ใช้สมองคิดเรื่องต่างๆ นานาเสียจนลืมใส่ใจความรู้สึก และด้านลึกที่สวยงามในตัวเอง

ศิลปินเป็นคนที่อาศัยในโลกใบเดียวกับเรา แต่มองเห็นโลกคนละใบ เขามองเห็นความสวยงามของประกายแดดที่สะท้อนในคลื่นน้ำ มองเห็นความขบขันของคำบางคำบนป้ายร้านก๋วยเตี๋ยว และมองเห็นความเศร้าของตุ๊กตาตัวเก่าที่หยากไย่เกรอะกรัง

เขาจึงมาพร้อมกับโลกอีกใบ เขาชี้ชวนให้เราสัมผัสโลกใบเดิมด้วยความรู้สึกใหม่ ในเวลาเดียวกันนั้นเขากำลังจูงมือเราออกจากความคุ้นเคยอันน่าเบื่อแบบเดิมๆ ที่เราใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในนั้นมาตลอด

​สำหรับผม คุณเป็นแบบนี้แหละ

โลกที่มีคุณมันสวยงามขึ้น ตลกขึ้น เศร้าสร้อยมากขึ้น มันน่าอัศจรรย์กว่าเดิม

​การได้อยู่ใกล้คนที่มีความรู้สึกละเอียดอ่อนนี่มันดีนะ มันทำให้เราดิบหยาบน้อยลงด้วย

ศิลปะบอกกับเราว่าโลกนี้ยังน่าอยู่ และเรายังมีเหตุผลที่จะหายใจ

นอกจากนั้น ศิลปินยังทำให้มองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ เพราะบุคลิกของศิลปินนั้นไม่ชอบอะไรเดิมๆ ไม่ค่อยชอบอะไรที่คนส่วนใหญ่ชอบกัน แถมยังชอบตั้งคำถามกับกฎเกณฑ์ที่มีอยู่

​“มันต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ” คุณชอบถามแบบนี้ หรือไม่ก็ “เราทำแบบนี้ก็ไม่ผิดนี่นา” จึงไม่แปลกที่คุณชอบทำผมทรงประหลาด บางทีก็ทำสีผมเหมือนตุ๊กตาเด็กเล่น ลำพังแค่ได้มองคุณ ผมก็รู้สึกแล้วว่าชีวิตเรายังมีความเป็นไปได้อีกมากมายนัก

แต่สิ่งที่มีเสน่ห์ที่สุดของคุณสำหรับผมก็คือ ความสามารถในการเปิดเผยความเศร้า ผมพบว่าคนส่วนใหญ่มักกังวลใจที่จะเปิดเผยความอ่อนแอให้ใครรู้ แต่คุณกลับแปรเปลี่ยนความเศร้า ความหม่นหมอง ออกมาเป็นงานศิลปะ นั่นทำให้ผมเดินเข้าไปในความเศร้าของคุณได้ การได้อ่านสิ่งที่คุณเขียน ได้เห็นสิ่งที่คุณวาด ได้นั่งดูหนังสั้นที่คุณตั้งใจทำ หรือได้ฟังเปียโนที่คุณบรรเลง ผมรู้สึกเหมือนถูกโอบกอดจากเพื่อนผู้มีความเศร้าเหมือนกัน ไม่ได้ปลอบใจกัน เพียงแค่แสดงออกว่า เราต่างเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ต้องมีช่วงเวลาย่ำแย่ แม้เรื่องร้ายของเราแตกต่างกัน แต่การได้สัมผัสถึงความเศร้าที่ถูกเล่าอย่างเปิดเผยผ่านงานศิลปะนั้นกลับช่วยคลี่คลายความเศร้าในใจไปได้อย่างประหลาด

เช่นกัน ทุกครั้งที่ผมสัมผัสงานของคุณ ผมไม่รู้สึกว่าจะต้องเข้าไปแก้ไขเยียวยาความทุกข์ในใจคุณ เพียงแค่นั่งมอง ซึมซับ และทำความเข้าใจ เราเศร้าอยู่ข้างๆ กัน—เศร้ากันคนละเรื่อง มนุษย์ล้วนมีเรื่องเศร้าส่วนตัวด้วยกันทั้งนั้น

​เช่นนี้แล้ว ศิลปะคือความจริงของชีวิตที่ต้องการความละเอียดอ่อนและความจริงใจเพื่อเผยมันออกมา และเราอาจต้องการบางคนที่แสดงสิ่งนั้นให้เห็น และยินดีรับรู้ ‘ศิลปะ’ ที่เราต้องการสื่อกลับไป

ไม่แปลกนักที่พระเอกหรือนางเอกในหนังในละครมักจะเป็นผู้คนที่มีบุคลิกลักษณะของศิลปิน หรือคนมีหัวทางศิลปะ สถาปนิก นักดนตรี นักร้อง นักวาดภาพ ฯลฯ คล้ายว่าพวกเขากำลังจะจูงมือเราเดินเข้าไปสู่โลกอีกใบที่แตกต่างไปจากโลกอันซ้ำซากที่เราใช้ชีวิตอยู่

ศิลปะสร้างความหวังให้เห็นด้านที่สวยงามของโลก ขณะเดียวกันมันก็บอกให้เรายอมรับและโอบกอดความเศร้า ศิลปะบอกกับเราว่า มันโอเคที่คุณจะเสียใจบ้าง ศิลปะช่วยจัดสมดุลให้กับชีวิตไม่ให้หัวหนักไปทางตรรกะและเหตุผลมากจนเกินไป นอกจากนั้นศิลปะยังชี้ชวนให้มองเห็นโลกในมุมที่ไม่เคยมอง

​ถึงที่สุดแล้ว ศิลปะบอกกับเราว่าโลกนี้ยังน่าอยู่ และเรายังมีเหตุผลที่จะหายใจ

ครูคีตติ้งแห่งหนัง เคยพูดว่า “And medicine, law, business, engineering, these are noble pursuits and necessary to sustain life. But poetry, beauty, romance, love, these are what we stay alive for.”

“เภสัชศาสตร์ กฎหมาย ธุรกิจ วิศวกรรมศาสตร์ วิชาเหล่านี้เป็นการแสวงหาชั้นสูงและจำเป็นต่อการมีชีวิตอยู่ แต่บทกวี ความงาม อารมณ์โรแมนติก ความรัก สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลของการมีชีวิตอยู่”

ผมคิดถึงรอยยิ้มในวันที่สดใส และความเศร้าบนใบหน้าในวันที่คุณบอกว่า ไม่จำเป็นต้องยิ้มให้ใครเมื่อไม่ได้รู้สึกดี

ผมเชื่อเช่นนั้น ชีวิตนี้จะมีคนบางคนเดินเข้ามาแล้วทำให้เรามองเห็นความงาม  ได้สัมผัสอารมณ์โรแมนติก ได้แรงบันดาลใจในการเขียนบทกวี และได้รู้จักความรัก คนคนนั้นอาจไม่ได้ทำอาชีพศิลปิน แต่เขามีความเป็นศิลปินในตัวเอง เป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาตามที่ตัวเองเชื่อ มีหัวใจที่ละเอียดอ่อน กล้ารัก กล้าเศร้า กล้าผิดหวัง และอ่อนโยนมากพอที่จะโอบกอดตัวเอง

คนเช่นนี้มักทำให้เรารู้สึกว่า เราอยากตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้ และโลกใบนี้น่าอยู่กว่าวันที่ผ่านมา กระนั้นเมื่อคนคนนี้หายไปจากชีวิต เขาก็ยังได้ทิ้งดวงตาคู่นั้นไว้ให้กับเรา ตัวเราก่อนและหลังได้พบกับเขานั้นแตกต่างกัน หลังได้รู้จัก ‘ศิลปิน’ แล้ว เราจะกล้าเป็นตัวเองมากขึ้น เราจะมองเห็นความงามและความเศร้าของโลกใบนี้อย่างละเอียดอ่อนกว่าเดิม และเราจะแปรเปลี่ยนความเศร้าของเราเป็นงานสร้างสรรค์

​เราทุกคนล้วนเป็นศิลปิน เพียงรออะไรบางอย่างหรือใครบางคนมาสะกิดบอกกับเราว่า มันโอเคที่คุณจะเป็นอย่างที่คุณเป็น เหมือนที่ฉันเป็นอย่างที่ฉันเป็น

​ผมกำลังคิดถึงเส้นผมสีชมพูของคุณ ผมคิดถึงรอยยิ้มในวันที่สดใส และความเศร้าบนใบหน้าในวันที่คุณบอกว่า ไม่จำเป็นต้องยิ้มให้ใครเมื่อไม่ได้รู้สึกดี

​แต่ก็ทำได้แค่นั้น

ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาแม้รู้ว่าคุณจะไม่ได้อ่าน แต่นี่แหละ ผมเรียกสิ่งเหล่านี้ว่างานศิลปะ มันบันทึกความจริงบางอย่างไว้ มันบรรจุทั้งความหวังและความเศร้าไว้เท่าๆ กัน

มีไม่กี่คนหรอกที่ทำให้หัวใจของเราอยากเขียนบทกวี

มีไม่กี่คนที่ทำให้เรารู้สึกตัวว่าเรามีความรู้สึกที่อ่อนไหว

ผมคิดว่า ผมโชคดีที่ได้พบคนเช่นนั้น

​คิดถึงคุณนะ, คุณศิลปิน

ภาพประกอบ: Suminkgy

Tags: , ,