ก่อนกำแพงเบอร์ลินจะล่มสลาย คนเยอรมันที่อาศัยอยู่ในเบอร์ลินตะวันออกและเยอรมนีตะวันออกจำนวนมากล้วนมีชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวงภายใต้เงามืดของเผด็จการสังคมนิยมแห่งสหภาพโซเวียต ซึ่งมีชื่อเรียกขานเป็นตรงกันข้ามว่า ‘สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี’ (German Democratic Republic: GDR หรือ DDR ในภาษาเยอรมัน) ชีวิตของผู้คนในพื้นที่สีแดงฉานแห่งนี้ถูกควบคุมตรวจตราจากรัฐในแทบทุกย่างก้าวของความเคลื่อนไหว ก่อนที่กำแพงความยาว 43 กิโลเมตรจะแยกเบอร์ลินออกเป็นสองฝั่ง และล้อมขังเสรีภาพของผู้คนในเบอร์ลินตะวันออกอย่างเป็นทางการในปี 1961

11 ปีก่อนหน้า (1950) สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีก่อตั้งกระทรวงหนึ่งขึ้นมา มีชื่อขึงขังเป็นทางการว่า ‘กระทรวงความมั่นคงปลอดภัยแห่งรัฐ’ หรือในภาษาเยอรมันว่า Das Ministerium für Staatssicherheit ซึ่งผู้คนรู้จักกันในชื่อ สตาซี (Stasi)

 

หน้าที่หลักของสตาซีคือการรักษาความสงบเรียบร้อยของรัฐผ่านการควบคุม จับกุม สอดแนมความคิด พฤติกรรม และความเคลื่อนไหวของประชาชนผู้ต้องสงสัยว่าคิดต่างเห็นต่างทางการเมือง หรือสมรู้ร่วมคิดกันหาทางหลบหนีข้ามไปยังฝั่งตะวันตก ตลอดจนกระทำการใดๆ ก็ตามที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ

หน่วยงานน้อยใหญ่จำนวนมากในสังกัดกระทรวงความมั่นคงปลอดภัยแห่งรัฐตั้งกระจายอยู่ทั่วเมือง โดยเฉพาะทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของย่านลิกเตนเบิร์ก (Lichtenberg) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ในเบอร์ลินตะวันออก และหนึ่งในหน่วยงานสำคัญของกระทรวงที่ว่ากันว่าเก่งกาจและมีประสิทธิภาพมากที่สุด คือแผนกผลิตและพัฒนาอุปกรณ์สืบหาความลับและจารกรรมข้อมูล (Operativ-Technische Sektor: OTS) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1963 หลังจากนั้นในปี 1985 พวกเขาสร้างอาคารขนาดใหญ่ขึ้นบนเขตพื้นที่หวงห้าม (Sperrgebiet) ในย่าน Alt-Hohenschönhausen ฐานที่ตั้งสำคัญของตำรวจลับสตาซี สำหรับการผลิตและพัฒนา รวมถึงการบำรุงรักษาเทคโนโลยีการจารกรรมข้อมูลทุกชนิดที่จำเป็นต่อการสืบสวนสอบสวน จับกุม ติดตาม หรือล้วงความลับจากประชาชน

ห้องดักฟังสัญญาณโทรศัพท์ แต่เดิมใช้สำหรับฟังการติดต่อสื่อสารของเจ้าหน้าที่ซึ่งทำงานอยู่ภายในเขตพื้นที่หวงห้าม

กระทรวงความมั่นคงปลอดภัยแห่งรัฐที่ว่านี้ทุ่มเงินมหาศาลกับการพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือจำนวนมากให้กับแผนก OTS นับตั้งแต่การผลิตไมโครชิพ อุปกรณ์ดักฟังโทรศัพท์ กล้องวิดีโอ และกล้องถ่ายรูปขนาดจิ๋วที่สามารถซ่อนพรางและสอดแนมได้ เครื่องปั๊มกุญแจ เครื่องปลอมแปลงและถอดรหัสข้อความผ่านตัวเลข เครื่องเปิดซองจดหมายที่เปิดและปิดซองจดหมายได้ 600 ซองต่อชั่วโมง โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ให้เห็น ขณะเดียวกัน พวกเขายังพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับภาพถ่ายและเคมีที่ใช้ในการสืบเสาะหาที่มาของข้อมูล หรือแปลค่าเนื้อหาผ่านตัวอักษรหรือวิธีการอื่นๆ ที่ผู้คนเขียนถึงกันอย่างลับๆ และยังรวมถึงการวิเคราะห์รวบรวมตัวอย่างจากลายมือและรอยนิ้วมือที่ปรากฏบนซองจดหมายหรือหลักฐานอื่นๆ ที่ยึดมาได้

นอกจากนี้ พวกเขายังคิดค้นและพัฒนาเครื่องตรวจสอบ ทำซ้ำ ปลอมแปลงบัตรและเอกสาร เพื่อเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของประชาชน หรือใช้ในการสร้างข้อมูลเท็จเพื่อนำไปสู่การกล่าวหาและการจับกุม มากไปกว่านั้น พวกเขายังผลิตและจัดหาเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย วิกผม หนวดปลอม หรือสิ่งของอื่นๆ ที่ไม่เพียงเอื้อให้ซุกซ่อนอุปกรณ์ล้วงข้อมูลประเภทต่างๆ ได้ง่าย แต่ยังรวมถึงการแปลงร่างพรางกายตำรวจลับสตาซีหรือสายสืบพลเรือนที่คอยทำหน้าที่แทรกซึมสอดแนมและสืบหาข้อมูลจากผู้คนในทุกๆ ความเคลื่อนไหว

ห้องที่เคยถูกใช้ผลิตไมโครชิพ ผนังถูกบุด้วยแผ่นทองแดงทั้งห้อง

อาคารขนาดใหญ่หลายหลังในอาณาบริเวณของพื้นที่หวงห้ามจึงถูกดัดแปลงเป็นห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย สำหรับใช้ในการทดลองด้านอาชญาวิทยาและวิทยาศาสตร์ หลักฐานหรือเอกสารต่างๆ จะถูกรวบรวมและนำมาวิเคราะห์ที่นี่ โดยผู้เชี่ยวชาญของหน่วยงาน กระทรวงความมั่นคงปลอดภัยแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีจึงสามารถทะลวงล้วงลึกถึงรายละเอียดการติดต่อสื่อสารของผู้คน ไปจนกระทั่งความสามารถในการเข้าถึงความลับและข้อมูลข่าวสารจากฝ่ายตรงข้าม นักข่าว หรือนักการทูตจากฝั่งตะวันตก ขณะที่อุปกรณ์ทุกอย่างที่เมดอินเบอร์ลินตะวันออกยังถูกส่งไปใช้ในรัฐสังคมนิยมอื่นๆ ของสหภาพโซเวียตอีกด้วย

แม้จะพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมเสรีภาพของผู้คน แต่สภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ภาวะสมองไหล ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สั่นคลอนสหภาพโซเวียต และประชาธิปไตยปลอมๆ ของรัฐ GDR ก็นำมาสู่การลุกฮือขึ้นต้านของประชาชนต่อระบอบการปกครองที่ไม่เป็นธรรม

ในที่สุด สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีที่คอยกำกับควบคุมชีวิตผู้คนในเบอร์ลินตะวันออกและเยอรมนีตะวันออกมากว่า 41 ปี (1949-1990) ก็ต้องล่มสลายไปพร้อมกับกำแพงเบอร์ลิน นอกจากบาดแผลและการพลัดพรากสูญเสียที่ทิ้งไว้กับชีวิตของผู้คน พวกเขายังทิ้งประจักษ์พยานสำคัญในรูปของอาคารและสิ่งปลูกสร้างจำนวนมาก ที่บ้างก็ถูกทุบทำลาย ทิ้งร้าง หรือได้รับการปรับรูปแบบการใช้งานในเวลาต่อมา

ดังที่อาคารสำนักงานของตำรวจลับสตาซีและแผนก OTS สองหลัง ถูกซื้อโดยบริษัทเอกชนรายหนึ่งในปี 2009 และมีชื่อใหม่ว่า Studios-ID หรือ Intelligence Department Studios ประกอบด้วยห้องขนาด 18-150 ตารางเมตร จำนวนมากกว่า 250 ห้อง ซึ่งถูกปรับปรุงซ่อมแซมและเปิดให้ศิลปินหรือคนทำงานสร้างสรรค์หลากหลายสาขา ทั้งจิตรกร ประติมากร ช่างภาพ สถาปนิก นักออกแบบ ช่างฝีมือ ฯลฯ เข้ามาเช่าพื้นที่เพื่อสร้างสรรค์ผลงานของตน ทั้งในลักษณะของ studio และ Creative Offices ด้วยทำเลที่ตั้งซึ่งค่อนข้างห่างจากย่านใจกลางเมืองของเบอร์ลิน บรรยากาศโดยรอบของอาคารแห่งนี้จึงเงียบสงบและมีการเปลี่ยนแปลงของชุมชนอย่างค่อยเป็นค่อยไป

อาคารสตูดิโอ 22 เมื่อมองจากด้านหลังของอาคารสตูดิโอ 20

ทุกวันนี้ แม้พื้นที่กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของอาคารจะถูกครอบครองโดยเหล่าศิลปิน แต่ก็ไม่บ่อยนักที่จะเห็นคนเดินพลุกพล่านตามส่วนต่างๆ ของอาคาร สตูดิโอแห่งนี้จึงมีบรรยากาศของการสร้างงานที่เข้มข้นจริงจัง มากกว่าเป็นเพียงแค่แหล่งพบปะสังสรรค์ของศิลปินแบบในย่านศิลปินย่านอื่นๆ ของเบอร์ลิน

มองจากหน้าต่างชั้นบนของอาคารสตูดิโอหลังแรก เราจะเห็นอดีตคุกหรือสถานที่ที่เคยใช้กักขังทารุณกรรม นักโทษทางการเมืองสมัย GDR ซึ่งตั้งอยู่อีกฟากของถนน ปัจจุบัน The Berlin-Hohenschönhausen Memorial แห่งนี้ ถือเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานสำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเบอร์ลิน ซึ่งเปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์สำหรับนักเรียนและบุคคลทั่วไปที่สนใจ

ประตูเหล็กหนักหนาราว 10 เซนติเมตร ถูกผลักออก อีทาน (Eitan) ช่างฝีมือที่เคยเช่าห้องทำงานอยู่ในอาคารสตูดิโอแห่งนี้ ผู้ผันตัวเองมาทำหน้าที่ดูแลสถานที่และอำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่า ขอตัวไปทำงานอื่นในหน้าที่ หลังจากพาฉันเดินสำรวจห้องลับภายในอาคาร พร้อมกับเล่าเรื่องราวความเป็นมาของสตูดิโอแห่งนี้

อีทานเดินลับหายไปในความมืด ประตูถูกปิด ความเงียบและผังอาคารที่ลึกลับซับซ้อนดึงดูดให้เข้าไปสำรวจมันอีกครั้ง การได้เดินอยู่ในอาคารที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่ต้องห้าม ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ห้องที่แต่เดิมเคยเป็นแหล่งผลิตคิดค้นเครื่องมือของตำรวจลับและหน่วยสอดแนมสตาซีในอดีต บัดนี้คือแหล่งผลิตงานสร้างสรรค์ของศิลปินหลากหลายเชื้อชาติที่ต่างก็ขะมักเขม้นทำงานอย่างเป็นอิสระในโลกของพวกเขา โดยไม่ต้องระแวงหวาดกับการควบคุมสอดแนมของผู้ใด

อีทาน ผู้ดูแลตึก ขณะพาเดินสำรวจพื้นที่ในอาคาร

ในเมืองที่ผู้คนผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างเข้มข้น และประวัติศาสตร์ก็ยังย้ำเตือนอยู่ทั่วทุกหัวมุมถนนเช่นกรุงเบอร์ลิน การจัดการกับร่องรอยหลักฐานทางประวัติศาตร์ที่หลงเหลืออยู่จึงไม่เพียงสะท้อนว่าพวกเขายอมรับและให้ความสำคัญกับอดีตอย่างไรเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นความคิดและทัศนคติของผู้คนที่พยายามหาทางอยู่ร่วมกับประวัติศาสตร์ ด้วยความเข้าใจ และโดยไม่ผลักไส ไม่ปฏิเสธข้อเท็จจริงที่เคยเกิดขึ้น แม้ว่ามันจะเลวร้ายสักเพียงใด ตรงกันข้าม พวกเขากลับพยายามหาวิธีที่จะเรียนรู้และใช้ประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่ เช่น การปรับเปลี่ยนหน้าที่ใช้สอยของสถาปัตยกรรมในอดีตให้กลายเป็นสถานพำนักของผู้อพยพ เป็นที่อยู่อาศัยและสถานที่จัดกิจกรรมชุมชน เป็นสำนักงาน-สตูดิโอของศิลปิน หรือเป็นพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อประโยชน์ต่อเมืองหรือสาธารณชนอย่างมากที่สุด

การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในแง่มุมนี้จึงไม่ใช่เพียงการท่องจำตำราที่น่าเบื่อในห้องเรียนแสนคับแคบ หากหมายถึงการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในฐานะองคาพยพหนึ่งของชีวิตและสังคม อันไม่อาจแยกขาดจากกันได้

working space ของลูซี (Lucie) ช่างภาพอาหารและหุ่นนิ่ง

 

อ้างอิง:
stasimuseum.de
studios-id.com
ndr.de

Tags: , , , , , , , ,