นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง บวกกับโอกาสสุดพิเศษของเรา ที่ได้มีโอกาสดั้นด้นไปชมนิทรรศการระดับโลกอย่าง Wanderland ที่แบรนด์ Hermès นำมาจัดแสดงที่ D Museum ในย่านยงซานกู กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ หลังจากนิทรรศการนี้ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้คนในลอนดอน ปารีส และดูไบ มาแล้ว

Wanderland บอกเล่าเรื่องราวความเป็นแบรนด์ Hermès ผ่านแรงบันดาลใจสำคัญที่เกิดขึ้นจากแนวคิดของคำว่า flânerie ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า การเดินระเห็จเตร็ดเตร่ไปเรื่อย

การเดินเล่นแบบนี้เกิดขึ้นในยุคหนึ่งที่ชาวปารีเซียงนิยมออกมาหาความรื่นรมย์จากการเดินชมเมืองอย่างเพลิดเพลินเบิกบานใจ ปลดปล่อยความคิด มองชีวิตของผู้คน จนกระทั่งถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมฝรั่งเศสที่ผู้คนหันมาเร่งรีบทำมาหากิน และการเดินเตร็ดเตร่แบบนี้ก็กลายเป็นวัฒนธรรมชั้นสูงที่คนทั่วไปมองว่าหรูหราและฟุ่มเฟือย ซึ่งยุคนั้นก็เป็นยุคเดียวกันกับที่ Hermès ก่อตั้งขึ้นในปี 1837 พอดี

Wanderland เริ่มต้นด้วยการให้เราสวมวิญญาณเป็นปารีเซียงผู้นิยมการเดิน flânerie พร้อมแจกไม้เท้าที่ส่วนปลายยอดเป็นเลนส์พิเศษที่เอาไว้ดูชิ้นงานวิดีโอที่ต้องดูผ่านเลนส์นี้เท่านั้น

ห้องแรกคือห้อง flâner ที่จัดแสดงอย่างง่ายด้วยลูกบอลดิสโก้ที่สะท้อนแสงสีไปมา เปรียบได้กับแรงบันดาลใจที่กระจัดกระจายอยู่รอบตัว พร้อมด้วยฟุตเทจการเดินเตร็ดเตร่ชมเมืองตามแบบฉบับชาวปารีเซียง จากนั้นเราจะเข้าสู่ห้อง Walking Stick ที่พูดถึงเรื่องไม้เท้าล้วนๆ เพราะในยุคนั้นไม้เท้าคือเครื่องมือสำคัญที่ชาวปารีเซียงนิยมพกไว้เวลาเดินเตร็ดเตร่ชมเมือง

ห้อง The Wardrobe พาเราไปส่องดูตู้เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยคอลเล็กชันสุดพิเศษ และสอดแทรกไปด้วยแรงบันดาลใจต่างๆ ที่จัดวางอย่างสวยงามเป็นระบบระเบียบ พร้อมด้วยหัวม้าที่สื่อถึงคอลเล็กชันแรกๆ ของ Hermès ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสัตว์ชนิดนี้

ห้อง The Passage ถือเป็นไฮไลต์ของนิทรรศการ ด้วยความที่จำลองโถงทางเดินแสนฝรั่งเศส พลางชี้ชวนให้ผู้ชมเมียงมองส่องดูตู้ดิสเพลย์ต่างๆ ที่แสดงถึงความเป็นปารีสออกมาอย่างน่ารักน่าชัง

เมื่อฝนหยุดตก ฟ้ายังไม่ทันหายครึ้ม เราก็เดินสู่ห้อง After the Rain ห้องจัดแสดงที่พาชี้ชวนให้เรามองดูรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตามท้องถนน อาทิ ม้านั่ง รถจักรยาน โคมไฟ ถังขยะ ฝาท่อระบายน้ำ หรือแม้แต่กระทั่งอ่างน้ำขังเล็กๆ บนพื้นทางเดิน

ว่าแล้วก็ได้เวลาหาร้านนั่งพัก ห้อง The Café of Forgotten Objects ไปด้วยกิมมิกน่ารักมากมาย ให้เราได้ลองใส่ใจรายละเอียด ความสนุก และแรงบันดาลใจไม่รู้จบของเมืองเดินเพลินแห่งนี้

เดินเตร็ดเตร่มาไกลถึง The Square (That Wasn’t) จะพบกับหอนาฬิกาขนาดเล็กที่มักพบได้ตามสี่แยกหรือจัตุรัสในย่านต่างๆ ซึ่งกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในคอลเล็กชันนาฬิกาของ Hermès

ห้อง The Street Artist พาเราไปพบกับอีกมุมหนึ่งที่ไม่หรูหรา แต่หากสะท้อนความเป็นจริงของสังคมผ่านงานกราฟิตี้และสตรีทอาร์ตแบบต่างๆ ถือเป็นมุมของปารีสที่เราไม่ได้พบเห็นกันบ่อยๆ นักและไม่คุ้นชิน

การเดินเตร็ดเตร่ยังไม่หยุดลงเพียงเท่านี้ เพราะ Wanderland ยังชี้ชวนให้เราไปเมียงมองส่องบ้านคนอื่นผ่านห้อง Eye Spies เพราะแรงบันดาลใจอาจไม่ได้มาจากการแค่มองไปตามท้องถนน แต่การสอดส่องมองดูชีวิตของชาวปารีเซียงคนอื่นๆ ก็ถือเป็นเรื่องสนุกดีเหมือนกัน

นิทรรศการพาเราไปสิ้นสุดที่การกลับบ้าน ห้อง Home ที่ไม่มีการจัดแสดงหวือหวา หากแต่น่าตื่นตาด้วยเทคนิค Mapping ซุ้มประตูที่หยิบเอาสิ่งละอันพันละน้อยที่เราเก็บเกี่ยวมาได้ ระหว่างทางของการชมนิทรรศการมาเล่าใหม่เพื่อบอกกับเราว่าการเดินเตร็ดเตร่กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว

“Flânerie คือศิลปะแห่งการปล่อยตัวปล่อยใจที่ยอดเยี่ยม มันคือการเดินเตร็ดเตร่ชมเมืองที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ทั้งหมดนี้คือธรรมชาติของความเป็น Hermès” ปิแอร์-อเล็กซิส ดูมาส์ (Pierre-Alexis Dumas) ที่เป็น Artistic Director ของแบรนด์กล่าวถึงแนวคิดของนิทรรศการนี้

สอดคล้องกันกับภัณฑารักษ์ของ La Piscine (พิพิธภัณฑ์ศิลปะและศิลปวัตถุประจำกรุงปารีส) และผู้ได้รับมอบหมายให้จัดทำนิทรรศการ – Bruno Gaudichon ที่บอกว่า “การเดินทางผ่านนิทรรศการ Wanderland ช่วยเชื่อมโยงเอาความฝัน และเสรีภาพของจิตวิญญาณเข้าไว้ด้วยกัน”

ดูแล้วนิทรรศการนี้อาจดูเหมือนการเดินเข้าไปดูพาวิลเลียนในงานแฟชั่นวีกสักที่ที่โชว์แรงบันดาลใจของแบรนด์ แต่ถ้านับรวมกับวัตถุจัดแสดงของจริง ซึ่งเป็นคอลเล็กชันส่วนตัวที่ เอมิล แอร์เมส ผู้บริหารแบรนด์ในยุคบุกเบิกยินยอมให้นำมาจัดแสดง โดยส่งมาจากบ้านเลขที่ 24 Rue du Faubourg Saint-Honoré ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของ Hermès ก็นับว่าคุ้มเกินคุ้มกับการที่จะได้มารับรู้และซึมซับเอาแรงบันดาลใจในการทำแบรนด์ของ Hermès ที่ต่อให้ไม่อิน หรือไม่เคยใช้สินค้าจากแบรนด์นี้เลย ก็ยังต้องร้องฮือฮา และยิ้มพิมพ์ใจให้กับความเพลิดเพลินเบิกบากใจ สมกับคอนเซปต์หลักของนิทรรศการนั่นเอง

ยังคงยืนยันคำเดิมว่าการได้มาดูนิทรรศการนี้จัดอยู่ในหมวดโชคดี และถ้าใครก็ตามได้มีโอกาสเดินทางไปกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้แล้ว ยอมเสียเวลามาชมนิทรรศการที่บรรเจิดไปด้วยแรงบันดาลใจ แถมยังไม่ต้องเสียค่าเข้าชมด้วย! ก็นับว่าคุ้มเกินพอ

Wanderland: An Hermès Exhibition
Website: http://www.daelimmuseum.org/dmuseum/eng/index.do, http://lesailes.hermes.com/gb/en
Open: 10:00 -18:00 น. วันจันทร์-พุธ และวันอาทิตย์ และ 10:00 – 20:00 น. วันพฤหัส-เสาร์ *นิทรรศการนี้จะแสดงตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม 2016 และฟรีค่าเข้าชม
Map: