ในวัยเพียง 21 ปี โปรเม-เอรียา จุฑานุกาล คือนักกอล์ฟหญิงมือวางอันดับ 2 ของโลก ที่เพิ่งคว้ารางวัลผู้เล่นแห่งปี 2016 หรือ Rolex Player of the Year Award หลังเฉือนเอาชนะคู่แข่งที่เป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกอย่าง ลิเดีย โค (Lydia Ko) จากนิวซีแลนด์ไปได้สำเร็จ

นอกจากนี้เธอยังทำลายสถิติด้วยการเก็บเบอร์ดี้ได้มากที่สุดต่อฤดูกาล โดยทำได้ทั้งสิ้น 469 ครั้ง มากกว่าที่ สเตซี ลูอิส (Stacy Lewis) อดีตมือวางอันดับ 1 ของโลกชาวสหรัฐฯ ทำไว้ในปี 2014 อีกทั้งยังทำเงินรางวัลสูงสุดในแอลพีจีเอ ทัวร์ประจำปีนี้ และคว้าตำแหน่งแชมป์ Race to CME GLOBE ได้อีกด้วย

เราเชื่อว่าทุกความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และนี่คือ 7 เหตุผลที่ทำให้นักกอล์ฟหญิงชาวไทยคนนี้ก้าวสู่จุดสูงสุดของอาชีพและสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกอล์ฟไทยคนแรกที่ก้าวมาถึงจุดนี้

1. อันดับ 1 ไม่สำคัญเท่าความสุข

คิดว่าทุกวันนี้ที่ผลงานออกมาดี ก็เพราะว่าเราเล่นกอล์ฟแล้วมีความสุข รู้สึกสนุกกับทุกแมตช์ที่ออกไปเล่น ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกว่าเราต้องไปกังวลหรือกดดันตัวเองว่าฉันต้องเป็นมือหนึ่งของโลก หรือว่าจะเล่นเพื่อให้ได้เป็นมือหนึ่ง แต่รู้สึกว่าทุกวันที่ออกไปเล่น เราเล่นเพื่อให้ตัวเองมีความสุข เพื่อสนุกกับสิ่งที่เรารักมากกว่า

รู้สึกว่าตั้งแต่วันที่ชีวิตเทิร์นโปรนั้น ชีวิตเรามีเป้าหมาย ทุกครั้งที่มีเป้าหมายเราก็รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีค่า ไม่ได้ล่องลอยไปเรื่อย ไม่ได้ทำอะไรโดยที่ไม่รู้ว่าทำไปทำไม และการที่เราได้เดินทางไปแข่งขันที่นั่นที่นี่พร้อมกันกับแม่และพี่สาวก็เป็นความสุขสำหรับเมแล้วค่ะ

ตอนเริ่มเด็กๆ ก็เล่นโดยไม่ได้คิดอะไรมากนะคะ แต่เมื่อเล่นไปได้สักพัก… เมก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ความฝันของพ่อเท่านั้นแล้ว แต่มันเป็นความฝันของทั้งครอบครัวเรามากกว่า คือตอนเด็กๆ ที่เพิ่งเริ่มก็อาจจะไม่ได้จริงจังมากหรอกค่ะ แต่เมื่อเริ่มเล่นและเริ่มลงแข่งแล้วก็เลยมีการตั้งเป้า ทำให้มีเป้าหมาย มันก็เลยกลายเป็นความฝันของพวกเราไปด้วย

2. ทุ่มเทเพื่อสิ่งที่เชื่อ

กอล์ฟเป็นกีฬาที่ค่าใช้จ่ายเยอะมากอยู่แล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ค่าสนามซ้อม ค่าสมัคร ค่าสอบ ค่าแคดดี้ ซึ่งมันก็เยอะนะ แล้วยิ่งถ้าไปแข่งเมืองนอก ค่าที่พักมันก็แพงใช่ไหม สมัยโน้นเมก็ยังเป็นจูเนียร์มือสมัครเล่น ซึ่งก็มีข้อกำหนดว่ายังรับสปอนเซอร์ไม่ได้ แต่ถ้าสมาคมกอล์ฟแห่งประเทศไทยอยากให้ลงแข่งแมตช์ไหน ก็จะส่งไปแข่งโดยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายให้ แต่มันก็มีหลายแมตช์นะคะที่เราต้องส่งตัวเองไป แล้วยิ่งเมกับพี่โม แข่งด้วยกันทั้ง 2 คน ค่าใช้จ่ายก็เลยเยอะ คุณพ่อจึงต้องขายบ้านและรถเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายให้กับเรา 2 คน ก็ถือว่าค่อนข้างลำบากเหมือนกัน

แต่เราก็ไม่ได้มีบ้านกันแค่หลังเดียวนะคะ ถามว่าทำไมตอนนั้นคุณพ่อจึงต้องเอาจริงเอาจังขนาดนั้น คือพ่อเขาเชื่อว่าหากเราไปเล่นเมืองนอก เราจะหาประสบการณ์ได้มากกว่า และพ่อเมเขาเป็นคนที่เชื่ออะไรแล้วไม่เคยคิดว่าทำไม่ได้ ตอนเด็กๆ เมคิดว่าพ่อคงไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่ว่าต้องทำให้ได้ ก็รู้ว่าลำบาก ก็รู้ว่าเงินต้องใช้ไปเรื่อยๆ แต่พ่อก็จะบอกอยู่เสมอว่าทำได้ ไม่ค่อยได้พูดว่าถ้าทำไม่ได้แล้วจะอย่างไรต่อ

3. รับมือกับความสำเร็จ

เวลาที่เห็นในข่าวก็จะเป็นราคาของเงินรางวัลเต็มๆ ที่ได้ใช่ไหมคะ แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเป็นที่อเมริกาเราต้องเสียภาษีตั้งเกือบ 40% แล้ว ดังนั้นทุกๆ แมตช์ที่เล่น เราต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้กับแคดดี้ด้วย 10% เหลือมาถึงเราจริงๆ ไม่ถึง 50% ด้วยซ้ำ

แล้วถ้าพูดถึงเรื่องความสำเร็จ อย่างช่วงแรกๆ ที่เมออกมาเทิร์นโปรใหม่ๆ ก็คิดแต่ว่าฉันต้องหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แต่ทุกวันนี้เหมือนมันก็อยู่ตัว เราหาเงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้แล้ว ปีนี้ทั้งปีเมแทบจะไม่ได้คิดถึงเรื่องเงินเลยนะ รู้สึกว่าการลงไปแข่งเพราะมันเป็นความสุข ความสนุก และเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวเรามากกว่า

4. ปรับโฟกัสให้มองแต่เรื่องดีๆ

ปกติ เมเป็นคนที่จะไม่โฟกัสเรื่องกอล์ฟเลยนะถ้าไม่ถึงขณะที่ตีลูกจริงๆ ซึ่งกอล์ฟเวลาเล่นทีหนึ่งมันเป็นกีฬาที่ใช้เวลานานมากประมาณ 5 ชั่วโมง แต่ตีจริงๆ ช็อตละประมาณ 3 วินาทีเท่านั้นเอง คือเราจะโฟกัสอะไรนานๆ ไม่ได้ เมเป็นคนสมาธิสั้นมาก โฟกัสจริงๆ แค่ช่วง 3 วินาทีนี้ นอกเหนือจากนั้นก็จะเล่นจะดูอะไรไปเรื่อย คือทำอะไรก็ได้ให้เราคิดบวก ทำให้รู้สึกดี

จริงๆ แล้วเมคิดว่ามีนักกอล์ฟที่เก่งๆ เรื่องฝีมือกับเทคนิคกันอยู่เยอะนะคะ ซึ่งตั้งแต่เมื่อก่อนเมก็คิดว่าเมก็มีอย่างนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เรามีพัฒนาการมากขึ้นน่าจะเป็นเรื่องความคิดมากกว่า

เช่น เวลาที่อารมณ์ไม่ดี คนเรามักจะโฟกัสถึงแต่สิ่งที่ไม่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องกอล์ฟนะ แต่เป็นกับทุกเรื่อง เรามักจะลืมนึกไปว่ามันยังมีอะไรอีกหลายเรื่องที่ดีๆ อยู่ในชีวิตเสมอ แต่เวลาเราโฟกัสถึงสิ่งที่มันไม่ดี มันก็จะทำให้สิ่งที่ไม่ดีตามมาตลอด แล้วชีวิตเราก็ไม่เคยมีอะไรดีขึ้นเลย

คือถ้าเกิดเราคิดถึงแต่สิ่งที่มันไม่ดี เมว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้น อย่างช่วงที่ตีไม่ดี ถ้าตอนนั้นคิดได้ ชีวิตก็คงจะไม่แย่ขนาดนั้น คือถ้าเกิดเรารู้ว่าอะไรไม่ดี แล้วเอามาแก้ไข มันก็เป็นสิ่งที่ดีแล้วนะ เพราะมันเป็นการดีที่เรารู้ว่าอะไรบ้างที่มันไม่ดี ก็อย่าไปมองหาเลย มองหาสิ่งที่ดีดีกว่า

5. ฝีมือไม่สำคัญเท่าความคิด

เมว่ามันเป็นเรื่องความคิดมากกว่าที่จะทำให้เราคงฝีมือเอาไว้ได้ คือคำว่า ‘ฝีมือ’ เมก็ยังคิดว่ามันไม่ใช่เสียทีเดียวนะ จริงๆ มันคือการ maintain ความคิดของตัวเองมากกว่า คือเมื่อก่อนเมไม่รู้ว่าจะซ้อมความคิดของตัวเองให้ดีได้อย่างไร เวลาเห็นอะไรหรือตีได้ไม่ดีก็จะอารมณ์เสียโวยวาย เสียใจมาก ซึ่งบางครั้งก็ลืมไปว่า… ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องกอล์ฟนะ แต่ชีวิตของคนเรามันก็มีขึ้นมีลง มีดีและไม่ดีเสมอ

กีฬากอล์ฟนั้นจิตใจสำคัญมาก เพราะเวลาคุณตีทีหนึ่ง คุณจะเว้นช่วงนานมาก มันจะไม่เหมือนกับกีฬาอื่น อย่างเทนนิสคือตีเสียแล้วก็ต้องวิ่งตีต่อไป แต่กอล์ฟจะมีเวลาเยอะมาก และถ้าช่วงเวลานี้คุณดูแลมันไม่ดี ไปคิดถึงแต่เรื่องไม่ดี วันนั้นทั้งวันก็จะแย่ไปหมดเลย แต่ถ้าสมมติว่าหากเราตีไม่ดีช็อตหนึ่ง เราเอาเวลาที่เหลือไปคิดถึงเรื่องดีๆ ดีกว่า อย่างเราเองเวลาตีเสร็จ ก็จะเดินคุยกับแคดดี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีสาระอะไรเลยนะ แล้วค่อยทำสมาธิอีกทีตอนที่จะตี

6. ขอบคุณทุกบททดสอบในชีวิต

เมเป็นคนที่ไม่ค่อยขออะไรมาก ถ้าจะขอก็ขอให้ตัวเองมีสติปัญญา มีความคิดที่ดี ส่วนใหญ่จะขอบคุณมากกว่า อย่างทุกวันนี้ที่ได้ตื่นขึ้นมามีชีวิตอยู่ก็ขอบคุณมากแล้ว ไม่ว่าจะเจออะไรดี หรือไม่ดี มันก็เป็นบททดสอบที่พระเจ้าอยากจะให้เราอดทนมากขึ้น รู้สึกว่าตัวเองเจออะไรมาเยอะนะทุกวันนี้ ก็เลยรู้สึกขอบคุณ

ไม่รู้สิ เมคิดว่าทุกคนมีหน้าที่ในการเกิดมาที่ไม่เหมือนกัน เราอาจจะมีหน้าที่คอยดูแลคนอื่นให้มีความสุข ทุกวันนี้เมเองก็มีความสุข และภูมิใจที่มีครอบครัวที่ดีคอยอยู่เคียงข้าง

7. ไม่เปรียบเทียบกับใคร

เวลาเสียใจ เคยเห็น MV ไหม เมนั่งอยู่ในห้องน้ำ เปิดน้ำ นั่งร้องไห้ เมื่อปีที่แล้วตอนที่ตกรอบ 10 แมตช์ เราพยายามทำทุกอย่างแล้ว แต่มันก็ไม่ดีขึ้น เรารู้สึกว่า เฮ้ย! มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากหยุดเล่นกอล์ฟไปก่อน แล้วค่อยกลับมาเล่นใหม่ คือความคิดของเรามันสามารถให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กับเราได้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็สามารถทำร้ายเราได้มากที่สุดเหมือนกัน

ไม่มีใครที่ดีเหมือนเรา ไม่มีใครที่แย่เหมือนเรา ช่วงที่แย่เราก็มักจะมองแต่สิ่งที่ไม่ดี แล้วก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่สิ่งที่สำคัญเลยคืออย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

ตอนนั้นเรารู้สึกว่าปัญหามันใหญ่มากเลยนะ ทุกอย่างมันแย่ไปหมดเลย พอมองกลับมาเรารู้สึกว่า 3 เดือนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากเลยนะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ที่เราผ่านมาได้ ก็เพราะเราค่อยๆ โฟกัสไปที่เรื่องอื่น เมื่อก่อนเราจะกลัวไปหมด กลัวว่าจะตีได้ไม่ดี ตอนที่คิดได้ก็จะพยายามเปลี่ยนโฟกัส ไม่ใช่มัวแต่กลัว ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

 

แม้หลายคนจะไม่เคยจับไม้กอล์ฟ ออกรอบ หรือดวลวงสวิงมาก่อนในชีวิต แต่วิธีคิดจาก โปรเม-เอรียา ก็น่าจะนำไปปรับใช้กับชีวิตจริงนอกสนามกอล์ฟได้เช่นกัน