**คำเตือน บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหาของรายการ

สัปดาห์ที่ 3 แล้วของ The Face Thailand Season 3 ซึ่งสัปดาห์นี้ก็ทวีความดราม่าขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อนจนนึกว่าละครหลังข่าวเดี๋ยวนี้เขาย้ายกันมาตอนห้าโมงครึ่ง เล่นใหญ่ไม่มีใครยอมใครกันเลยจริงๆ
ยกเว้นก็แต่เมนเทอร์มาช่านี่แหละที่ เอ่อ…นางมาด้วยเหรอ ดูนางเงียบมากจริงๆ Episode นี้ (พี่ช่าครับ เราไม่ได้สื่อสารกันทางจิตนะครับพี่ช่า!)

แต่ถึงจะดราม่าฟัดกันนัวแค่ไหนก็ตาม สัปดาห์นี้ เรายังคงได้บทเรียนการทำงานของรายการนี้เหมือนเดิม ดราม่าแค่ไหนแต่ก็ยังมีประโยชน์ให้เราได้ศึกษาวิธีการทำงานกัน

กดข้ามไปดูตอนแข่งแคมเปญเลยก็ได้ เพราะช่วง Master Class ไม่มีอะไรนอกจากขายของสปอนเซอร์ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ซึ่งน่าจะไปช่วยดูแลกองถ่าย เพลิงพระนาง ด้วย นั่นผมหรือก้อนหมอนข้างที่อยู่บนหัวแต่ละนาง

เอาล่ะ #ทีมมาช่า #ทีมลูกเกด #ทีมบี #ทีมขุน #ทีมคุณเต้ เรามาดูกันดีกว่าว่าเราได้เรียนรู้อะไรจาก The Face Thailand Season 3 Episode 3 กัน

ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง และพูดออกมา!

ทันทีที่รู้สึกว่าโจทย์ที่พี่ตือให้มากับสิ่งที่พี่ตือกำลังตัดสินในการแข่งขันเป็นคนละเรื่องกัน ตอนบรีฟก็อย่างหนึ่ง ตอนแข่งโจทย์เป็นอีกแบบหนึ่ง เมนเทอร์ลูกเกดก็กล้าชนลุกขึ้นมาท้วงพี่ตือทันทีว่าพี่จะเอายังไงของพี่กันแน่ ตอนบรีฟบอกว่าเป็นแฟชั่นโชว์ แต่ตอนแข่งบอกว่าแข่งเดินพรมแดงเดินนวยนาดโบกมือให้นักข่าว คนละเรื่องกันเลย ทำให้พี่ตือต้องมาเคลียร์โจทย์ใหม่ ซึ่งตอนแรกเมนเทอร์ลูกเกดเห็นเมนเทอร์มาช่าซึ่งเป็นทีมต้องเดินออกมาก่อนอยู่ในอาการอึดอัดกับการตัดสินของพี่ตือ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เมนเทอร์ลูกเกดเลยเป็นคนท้วงขึ้นมาเอง​

เมนเทอร์บีก็แสดงออกให้รู้ว่ารองเท้ามีปัญหาและไม่ได้รับการแก้ไขตั้งแต่ต้น เพื่อบอกให้กรรมการรู้ถึงปัญหา รวมทั้งเมื่อตอนกลับไปหาลูกทีมก็สอนให้ลูกทีมรู้ว่า ถ้าเห็นปัญหา เราก็ต้องพูดออกมา อย่าเงียบ อย่านิ่งเฉยไม่ทำอะไร ไม่อย่างนั้นปัญหาจะไม่ได้รับการแก้ไข และเราอาจเป็นผู้แพ้ได้ ถือว่าเป็นการปลูกฝังลูกทีมได้ดี

ในทางกลับกัน ตอนแข่งขันจริง เมื่อบรีฟกำหนดไว้ว่าเมนเทอร์ห้ามส่งเสียงหรือแสดงออกว่ากำลังช่วยผู้เข้าแข่งขันและทำหน้าที่ได้เพียงเป็นคนดู แต่ทั้งเมนเทอร์บีและเมนเทอร์ลูกเกดดันตะโกนกำกับลูกทีมตัวเองตลอดการแข่งขัน เมนเทอร์มาช่า แม้จะเห็นความไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา ปล่อยให้ผ่านไป​

เราต้องกล้ายืนหยัดในกติกา ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง และเมื่อเห็นว่ามีสิ่งผิดปกติ สิ่งที่เราจะเสียประโยชน์จากความไม่ถูกต้องนั้นเราต้องพูดออกมา เพราะถ้าไม่พูดแสดงว่าเรายอมรับว่าความผิดนั้นคือสิ่งที่ถูกที่ควร

อย่าไปคิดว่า พูดแล้วจะได้อะไร หรือคิดว่าทุกคนก็ควรต้องรู้เองว่าควรทำหรือไม่ควรทำอะไร เพราะในโลกการทำงานจริง ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นคนดี ทุกคนต้องการความอยู่รอด และบนความอยู่รอดนั้นอาจมีบางคนที่ใช้วิธีสกปรก เราอาจจะอยู่ในองค์กรที่ไม่ยุติธรรม องค์กรที่เล่นพวกพ้องหรือมีผลประโยชน์ทุจริตแอบแฝง โลกนี้ไม่ได้สวยงามตลอด แต่เราต้องรู้จุดยืนของตัวเราเอง

คำถามสำหรับพวกเราคนทำงานก็คือ เมื่อเราเห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะทำให้เราได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ แต่เมื่อมันไม่ถูกต้อง เราจะเงียบและปล่อยให้ความไม่ถูกต้องกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้อย่างนั้นหรือ

เห็นความไม่ถูกต้องแล้วเราเงียบเท่ากับเราคือส่วนหนึ่งของระบบของความเสื่อมทรามเช่นกัน

ซ้อมล้มให้สวย          

ทั้งหมดของการแข่งขันนั้นทุกคนมุ่งโฟกัสไปที่ว่าจะเดินอย่างไรให้สวย และก็คิดเรื่องเดินอย่างเดียว แต่ลืมนึกไปถึงแผนสำรองซึ่งสำคัญมาก นั่นก็คือ จะล้มอย่างไรให้สวย เพราะเมื่อถึงเวลาแข่งขันเข้าจริงๆ ทุกทีมเดินสะดุดกันหมด ซึ่งก็น่าชื่นชมหมดว่าแม้จะล้มจะสะดุดแต่ทุกคนก็พยายามเดินต่อไปได้ แต่เรื่องการจัดการกับการล้มนี้เป็นสิ่งที่ควรคิดเผื่อไว้ด้วย ล้มอย่างไรแล้วจะลุกขึ้นมาให้สวย สะดุดแล้วจะทำอย่างไร ล้มอย่างไรให้ไม่บาดเจ็บ ส้นสูงเกิดหักขึ้นมาจะทำอย่างไร ไม่อย่างนั้นจะเกิดท่าแหกขาย่อเอาชายกระโปรงออกจากส้นสูงแบบเทีย #ทีมบี ได้ (รู้ว่ากำลังแก้ปัญหา แต่ท่าไม่สวยเลยลูก!) เพราะเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้แน่นอนในการทำงาน

ถ้าให้เจ๋ง นางแบบอาจจะต้องลองซ้อมเดินกับรองเท้าส้นสูงที่หัก ซ้อมเอาชายกระโปรงออกจากรองเท้าส้นสูง ซ้อมล้มให้สง่างามที่สุด ซ้อมทุกอย่างที่เป็นเรื่องเลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในการทำงานจริง ซ้อมจนรู้ว่าถ้าถึงเวลามีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นมาจริงๆ แล้วเราจะแก้ปัญหาได้จริงๆ แผนสำรองเป็นเรื่องจำเป็นมากเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ต้องคิดเผื่อว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจะทำอย่างไร ลองจินตนาการว่าเหตุการณ์อะไรบ้างที่อาจจะเกิดขึ้นและทำลายเราได้ และคิดเผื่อล่วงหน้าเลยว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร จำลองสถานการณ์ที่เลวร้ายนั้นแล้วลองดูว่าเราจะป้องกันและแก้ปัญหานั้นอย่างไรได้บ้าง ภาษานักบริหารเรียกสิ่งนี้ว่า Issue Management & Crisis Management

อย่าพากันลงเหว           

สิ่งที่ทีมลูกเกดพลาดคือตอนจบไม่ได้โพสกับรถเลยและทุกคนก็กรูกันเข้าไปในรถกันหมดไม่เหมือนที่ซ้อมไว้ สิ่งที่เมนเทอร์ลูกเกดทำคือดุไล่เรียงคน ตั้งแต่คนแรกที่ลืมการโพส และดุลูกทีมคนต่อๆ มาทีละคนว่า ทำไมถึงไม่แก้ปัญหาและปล่อยทุกอย่างเลยตามเลย ถ้าเรารู้ว่าเพื่อนผิด เราต้องรีบแก้ ไม่ใช่ปล่อยผ่านแล้วพากันลงเหวหมด และนั่นทำให้เมนเทอร์ลูกเกดรู้สึกว่าทีมไม่ได้ทำเต็มที่อย่างที่พูดไว้

ในการทำงาน ยิ่งทำงานเป็นกลุ่ม แม้จะมีการแบ่งหน้าที่กันแล้ว แต่สมาชิกแต่ละคนต้องรู้ว่าใครทำอะไรบ้าง และช่วยกันดูแลงานของทุกคน ดูแลในที่นี้ต้องคิดว่าไม่ได้กำลังจับผิดเพื่อน แต่เรากำลังระวังหลังให้กันและกันอยู่ และถ้าเมื่อไรที่เกิดความผิดพลาด ทีมที่ดีจะต้องรู้ว่าเราจะช่วยแก้ปัญหานั้นอย่างไร เห็นปัญหาแล้วต้องรีบช่วยกันแก้ ไม่ใช่รู้สึกว่าเป็นปัญหาของคนใดคนหนึ่ง ทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหาตรงหน้าก่อน แล้วหลังจบงานค่อยมาสรุปบทเรียนกันว่าควรปรับปรุงพัฒนากันอย่างไรเพื่อให้คราวต่อไปดีขึ้น นั่นคือทีมเวิร์กที่แท้จริง

เพราะถ้าชนะก็คือเราชนะด้วยกันหมด แพ้เราก็แพ้ด้วยกันหมด

ในบางครั้งการไม่ตอบโต้เป็นการตอบโต้ที่รุนแรงที่สุด

จุดพีกที่สุดของ Episode นี้ไม่ใช่ตอนเมนเทอร์ลูกเกดไปดักรอที่ประตูและบอกเมนเทอร์บีว่า “บีจะประกาศศึกกับพี่ใช่ไหม!” ในระดับการเล่นใหญ่ชนิดที่รัชดาลัยเธียเตอร์อาจจะไม่พอ ต้องเป็นราชมังคลากีฬาสถานกันเลย (แต่ตอนนางล้อเลียนความตกใจของบีนั่นตลกมาก!) จนคนดูซี้ดปากว่าจะตบกันแล้วเว้ย! แต่เป็นเมนเทอร์มาช่า ซึ่งหลังจากที่นิ่งเงียบไม่ไหวติงเหมือนโดนงูแมวเซากัดมาตลอดทั้งเทป และดูชีวิตสับสนมากในชุดดอกไม้ป่าติดร่างแหชาวประมงเมื่อตอนแข่งแคมเปญ (ช่วยเอาสไตลิสต์ไปเก็บทีเถอะ!) ก็ถึงเวลาที่นางจะตอบโต้โดยไม่ได้อ้าปากพูดเลยสักคำ! (จนจบรายการพี่จะไม่พูดอะไรเลยใช่ไหมนี่)

จุดพีกที่สุดคือตอนที่เมนเทอร์บีกำลังอ้าปากจะฟัดเมนเทอร์มาช่า (ซึ่งมาในชุดและการแต่งหน้าที่สวยเลอค่ามากจนสงสัยว่าสไตลิสต์คนเดียวกันกับเมื่อกี้หรือเปล่า) ด้วยคำพูดว่า “พี่ช่าคะ ฝากนิดหนึ่งค่ะ…” แต่ยังไม่ทันพูดจบ (ตามสคริปต์ที่นางคิดมาแล้วว่าต้องเจ็บที่สุด! ร้ายที่สุด!) เพราะเมนเทอร์มาช่าทำหน้านิ่งๆ เดินผ่านไปเหมือนบีเป็นอากาศธาตุ

ผลก็คือเมนเทอร์บีออกอาการหน้าเหวอกับการถูกเมินเฉยจนคุ้มคลั่งธาตุไฟแตก “ไม่ฟังก็ตามใจค่ะ แพ้ต่อไป แพ้! แพ้! แพ้ไปเลย!” แล้วกระโดดโหยงเหยงไปมาตะโกนปาวๆ ร้องเพลง (ด้วยเสียงผิดคีย์ แต่หน้าสวยเป๊ะ) ว่า “แพ้! แพ้! แพ้! I’m a queen bee!” อยู่คนเดียวโดยไม่มีใครสนใจ จากควีนบีผู้กุมชัยชนะกลายเป็นตัวตลกน่าหัวเราะในตอนจบเสียอย่างนั้น โอ๊ย! บีเอ๊ย! มาเสียอะไรตอนจบ!

จุดนี้ต้องปรบมือให้พี่มาช่าหน้านิ่งที่ใช้การไม่ตอบโต้เป็นการตอบโต้ที่รุนแรงที่สุด บางสถานการณ์การเลือกที่จะไม่ตอบโต้ด้วยคำพูดแรงๆ และเมินเฉยใส่อาจเป็น ‘Statement’ ที่ทรงพลังที่สุด เพราะมันคือการกำลังบอกว่า อีกฝ่ายไม่สมควรได้รับความสนใจจากเรา

จริงอย่างที่เมนเทอร์บีบอกว่า คนจริงไม่จำเป็นต้องพูด ‘เยอะ’ แต่เมนเทอร์มาช่ากำลังบอกเราว่า คนจริงไม่จำเป็นต้องพูด เขาตีเบลอใส่เรื่องที่ไม่ควรต้องแคร์มากกว่า เธอไม่ควรได้รับความสนใจจากฉัน บาย! เดินหน้านิ่งผ่านไปเลยจ้า!

เอ่อ… แต่พี่ช่า พูดบ้างก็ได้เนอะ ดูมาจนจบเทปนึกว่าพี่ไม่มา พี่เงียบจนคนดูจะนึกว่าพี่หลับในแล้ว

สัปดาห์หน้าเมนเทอร์ลูกเกดจะทุบเมนเทอร์บีให้เตี้ยติดดินเหมือนติช่าอย่างที่ประกาศกร้าวไว้ไหม เมนเทอร์บีจะยังชนะและมาพร้อมกับมาดเล่นใหญ่เป็นนางร้ายละครหลังข่าวหรือเปล่า และเมนเทอร์มาช่าจะนิ่งเงียบอยู่ไหม เราไปติดตามกัน!

Tags: