เรารู้จักชิบูยา เมืองตึกระฟ้าใจกลางโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในฐานะย่านของนักช็อปและชิม แต่พื้นที่ที่หาไม่ง่ายในหมู่ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ คือมุมสงบในคาเฟ่สำหรับนั่งชิล เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่คน คน และคน จะให้ไปกินร้านกาแฟซึ่งมีสาขาในเมืองไทยก็ใช่ที่ ไม่อยากลงเอยเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมากับการเดินทางในต่างแดน ที่พอไม่รู้จักแหล่งหย่อนใจเพราะความแปลกถิ่น สุดท้ายก็เดินเข้าร้านกาแฟแบรนด์คุ้นเคย (แต่ราคาแพงกว่าเมืองไทย)

โชคดีที่การไปญี่ปุ่นครั้งนี้ (ซึ่งเป็นครั้งแรก) ผมเดินทางร่วมกับ จี๊ป-พันธ์เทพ เกษมศรี ณ อยุธยา นักเลงกาแฟเจ้าของร้าน Plantation Cafe ที่พาไปตะลุยคาเฟ่ 3 แห่ง 3 สไตล์ในย่านชิบูยา ตั้งแต่ About Life คาเฟ่เล็กๆ ราคาประหยัดสำหรับคว้ากาแฟดีๆ ในยามเช้า Minimal บาร์ช็อกโกแลตแสนอร่อย หลังเดินเมื่อยมาทั้งบ่าย ปิดท้ายที่ Satei Hato ร้านกาแฟสไตล์ Kissaten เข้มขรึม ซึ่งจะทำให้ยามค่ำคืนมีรสชาติ

จิบกาแฟยามเช้าที่ About Life

​​ About Life Coffee Brewers คาเฟ่เล็กๆ หัวมุมถนน ห่างจากสถานีรถไฟชิบูยาประมาณ 10 นาทีเดิน ตกแต่งเรียบง่ายโทนขาว-ดำ ไม้ และปูนเปลือย เข้าข่ายร้านกาแฟธรรมดาสามัญ มีที่นั่งจำนวนไม่มากนักเพื่อรองรับนักเดินทางที่ต้องการแวะมาพักเหนื่อย แต่คนส่วนมากมักซื้อกาแฟแบบ take away เพื่อไปช็อปและชิมที่อื่นต่อ

ตัวเลือกกาแฟในร้านก็ไม่ต่างจากร้านกาแฟสมัยใหม่ทั่วไป คือเอสเปรสโซ อเมริกาโน ลาเต้ รวมถึงกาแฟดริป ที่มีเมล็ดกาแฟจากทั่วโลกหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป หากใครไม่ชำนาญการเลือก อาจสุ่มเมล็ดตามชื่อที่ชอบ หรือบอกความต้องการกับพนักงานก็ได้ว่าชอบรสเข้ม-อ่อน รสชาติออกไปทางช็อกโกแลตหรือผลไม้ แล้วบาริสตา (ซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว) จะจัดให้ อีกหนึ่งเมนูที่น่าลองคือกาแฟแบบ Cold Brew ที่รสชาติอยู่ในระดับมาตรฐาน

สิ่งที่ทำให้ About Life เป็นร้านกาแฟที่ไม่ควรพลาดคือกาแฟได้คุณภาพตามที่คาดหวัง ราคาสบายกระเป๋า (ทุกแก้วไม่เกิน 500 เยน) และพนักงานที่แสนจะเป็นมิตร นอกจากนี้ ที่นี่ยังเหมาะกับคนตื่นเช้าที่ต้องการกาแฟดีๆ เพราะ About Life เปิดทำการตั้งแต่ 8 โมงครึ่งในวันธรรมดา และ 9 โมงในวันหยุด ซึ่งถือว่าเช้ามากหากเทียบกับมาตรฐานโตเกียวที่ร้านส่วนใหญ่มักเปิด 10 โมงเช้า

 


เวลาเปิดทำการ วันจันทร์-ศุกร์ 8:30-18:30 น., วันเสาร์-อาทิตย์ 9:00-19:00 น.

เติมพลังหลังช็อปด้วยช็อกโกแลตที่ Minimal

Minimal – Bean to Bar Chocolate คาเฟ่ที่เกิดจากความลุ่มหลงของเหล่าผู้รักช็อกโกแลต ซึ่งต้องการถ่ายทอดเรื่องราวและกระบวนการผลิต จากผลโกโก้จนถึงผลิตภัณฑ์ปลายทาง คือช็อกโกแลต

ภายในร้าน เราจะได้เห็นผลโกโก้ เมล็ดโกโก้ในแต่ละขั้นตอน รวมถึงกระบวนการบดช้าๆ จนเมล็ดโกโก้กลายเป็นของเหลว และสุดท้ายได้เป็นช็อกโกแลตบาร์ เป็นการนำแนวคิดของร้านกาแฟสมัยใหม่มาสวมกับเครื่องดื่มอย่างช็อกโกแลตได้อย่างลงตัว

แม้เมนูของร้านจะมีให้เลือกไม่มาก แต่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนรักและหลงใหลช็อกโกแลต เพราะมีทั้งเครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อนและเย็น รวมถึงไอศกรีมช็อกโกแลตให้เลือกสรร ที่สำคัญคือรสชาติไม่ธรรมดา แม้ว่าทุกอย่างมีส่วนประกอบจากช็อกโกแลตล้วนๆ แต่รสชาติ ความหวาน และกลิ่นหอมก็มีโน้ตที่หลากหลาย ตั้งแต่ผลไม้สีม่วงไปจนถึงกลิ่นถั่วต่างๆ ความแตกต่างของชนิดและแหล่งที่มาของโกโก้ ทำให้ความหอมมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนมาก แม้กระทั่งนักดื่มมือใหม่อย่างผมก็รับรสและกลิ่นได้ไม่ยาก

Minimal ยังมีช็อกโกแลตบาร์สำหรับซื้อติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้าน โดยช็อกโกแลตบาร์จะมีโน้ตให้เลือกหลากหลาย เช่น Fruity Nutty และ Savory โดยมีผลิตภัณฑ์เด่นคือ Fruity Berry-Like ที่การันตีด้วยรางวัลเหรียญทอง International Chocolate Awards ในทวีปอเมริกาและเอเชีย-แปซิฟิก และเหรียญเงินในระดับโลก

ส่วนเรื่องราคาก็อยู่ในระดับกลางๆ คือราว 500-700 เยนต่อแก้ว แต่ของที่ราคาแรงคือเจ้าช็อกโกแลตบาร์ที่ราคาอยู่ระหว่าง 1,000-1,300 เยนต่อ 50 กรัม สำหรับคนเบี้ยน้อยใช้สอยต้องประหยัด ที่ Minimal เขามีชิ้นจิ๋วๆ ให้ชิมฟรี ส่วนใครอยากลองชิมเมล็ดโกโก้ก่อนจะเป็นช็อกโกแลตบาร์ ที่นี่ก็มี Cocoa Nibs เคี้ยวกรุบๆ รสชาติคล้ายถั่วแมคคาเดเมียจำหน่ายเช่นกัน

ที่ตั้งของ Minimal อาจจะไกลจากสถานีชิบูยาสักหน่อย โดยอาจเลือกเดินทางโดยรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Yoyogi-Koen แล้วเดินอีกนิด หรือจะเดินเล่นผ่านสวน Yoyogi ก็ได้อารมณ์อีกแบบ (ใช้เวลาเดินประมาณ 25 นาที)


เวลาเปิดทำการ 11:30-19:00 น.

 

เข้มข้นก่อนนอนที่ Satei Hato

แค่ก้าวผ่านประตูของ Satei Hato ก็ทำให้เราลืมความสับสนวุ่นวายภายนอก เพราะสิ่งแรกที่ต้อนรับเราคือเคาน์เตอร์ไม้ขัดมันที่มีบริกรแต่งตัวเต็มยศกำลังรินน้ำร้อนช้าๆ ผ่านเมล็ดกาแฟ ด้านหลังเคาน์เตอร์ประดับประดาด้วยเครื่องเซรามิกหรูหรา ทั้งห้องอวลด้วยความเงียบ แสงสีเหลืองหม่น กลิ่นขมไหม้ และไอบุหรี่จางๆ ใจกลางห้องมีแจกันดอกไม้สดตั้งตระหง่านตัดกับบรรยากาศขรึมขลัง

ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ร้านอย่าง Satei Hato จะเรียกว่า Kissaten ซึ่งหมายถึงร้านน้ำชา เป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นที่กำลังถูกทดแทนด้วยคาเฟ่สมัยใหม่ สำหรับผม ฟังก์ชันของ Kissaten คือแหล่งแฮงก์เอาต์ของผู้ใหญ่หรือเด็กมหาวิทยาลัยที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากบรรยากาศที่ชวนให้ใจสงบ Satei Hato ยังโด่งดังเรื่องกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ จากการใช้เมล็ดกาแฟคั่วเข้ม (มากๆ) โดยใช้ถ่านไม้ เมล็ดที่ได้จากการคั่วแบบนี้ เมื่อดริปเป็นกาแฟแล้ว นอกจากจะได้เนื้อนวลเข้ม ยังสามารถขับเน้นกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของเมล็ดออกมาได้ด้วย การคั่วเมล็ดในลักษณะนี้จะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคาเฟ่สมัยใหม่ที่เน้นคั่วเมล็ดกาแฟแบบอ่อนหรือปานกลาง กาแฟที่ได้จะบางเบา แต่สามารถเก็บกลิ่นได้อย่างครบถ้วน

โจทย์ที่เหล่านักคั่วกาแฟยังตีไม่แตก คือคั่วเมล็ดกาแฟอย่างไรให้ได้เมล็ดกาแฟที่เข้ม แต่ยังรักษากลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ไว้ได้ เพราะโดยปกติ ยิ่งคั่วเมล็ดกาแฟเข้มเท่าไร กลิ่นหอมก็จะยิ่งหดหาย หลงเหลือแค่ความขมไหม้ของกาแฟ

นอกจากรสชาติที่โดดเด่น กาแฟแต่ละแก้วจะถูกเสิร์ฟมาในแก้วกาแฟจากคอลเลกชันกว่า 300 ชุดที่มีแต่แบรนด์ราคาแพง เช่น Wedgewood ประเทศอังกฤษ Herend ประเทศฮังการี และ Meissen ประเทศเยอรมนี ซึ่งบาริสตาจะเป็นผู้เลือกให้เหมาะสมกับชนิดกาแฟและผู้ดื่ม ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจ หากบริกรต้องการทราบว่าเครื่องดื่มแต่ละรายการเป็นของใคร

ความหรูหราและมีเอกลักษณ์ ย่อมตามมาด้วยราคากาแฟที่แพงหูฉี่ ราคาแต่ละแก้วเฉียด 1,000 เยน แต่ก็นับว่าสมน้ำสมเนื้อกับคุณภาพที่ได้รับ นอกจากนี้ Satei Hato ยังมีขนมเค้กโฮมเมดแสนอร่อยไว้กินแกล้มกาแฟในราคา 500 เยน แถมร้านก็อยู่ห่างจากสถานีชิบูยาเพียง 1 นาทีเดิน และเปิดถึง 5 ทุ่มครึ่ง เรียกว่าช็อปและชิมจนห้างปิดแล้วค่อยแวะมาก็ยังไม่ช้าเกินไป


เวลาเปิดทำการ 11:00-23:30 น.

 

ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจากพันธ์เทพ เกษมศรี ณ อยุธยา และธิษณา กูลโฆษะ

Tags: , , , , ,